Friday, 1 June 2012

1.

เห็นเหมือนกันไหม

แสงสว่างที่รอคอยมานานนับ

อย่ากลัว อย่ากลัว

อย่าเพิกเฉยต่อเสียงร้องเรียก

แค่ก้าวเข้ามา แค่เอื้อมมือคว้า


เงียบสิ แล้วฟังเสียง

เราได้ยินเหมือนกันใช่ไหม

ตามมันไป ตามมันไป

เสียงภายในยังเร่งเร้า

แสงสลัวยังเร่งร้อน


หากพันธนาการยังฉุดรั้ง

เสียงกระซิบเยาะหยันในความมืด

กลับมาเถิด กลับมาเถิด

หลับตาลง เจ้าคนขลาด

กลับมาซุกกายในเงามืดตรงนี้


ไม่ได้, อีกเสียงดังเร่งร้อน

ความหวังจะหรี่แสงจนดับหากเพิกเฉย

อย่าช้า อย่าช้า

เพราะเราต่างมาไกลเกินถอยกลับ

เธอต้องไป เพราะเราต้องไป


ไปตรงนั้น เพราะมันอยู่ตรงนั้น

ยินเสียงเร่งเร้าดุจกลองระรัว

อย่าหันกลับ อย่าหันกลับ

ตราบที่ความฝันของเธอยังคงดิ้นพล่าน

และศรัทธานั้นยังเป็นของเรา


แม้ความหวังจะสลัวลางเจียนดับ

แต่เราจะเชื่อ ตราบที่ใครอีกคนยังเชื่อ

ไปด้วยกัน ไปด้วยกัน

แม้ผวาหวาด ก็จะเอื้อมมือคว้า

ตราบบนหนทางยังมี แค่..ใครสักคน

ตึกสูงระฟ้า แทรกอยู่กลางร่มไม้เขียวขจี เธอเดินบนฟุตบาทกว้างสะอาดสะอ้าน ฟ้าคำรามเบาๆ และเมฆดำแผ่คลุมท้องฟ้าบรรยากาศมืดครึ้ม แต่กระนั้นเธอก็ยังสวมแว่นกันแดดสีชาอันเดิม เร่งฝีเท้าไปบนเส้นทางลาดชันของเนินเขา ฝนเริ่มลงเม็ด เธอกระชับกระเป๋าใบเล็กกว่าที่เธอเคยใช้ แล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะตามไม่ทัน เพราะข้างกายเธอไม่มีใครอีกแล้ว


เพียงมุมตึกข้างหน้าก็จะถึงที่หมาย ทุกครั้งที่เลี้ยวตรงมุมตึกนี้ เธอจะหันกลับไปมองทางที่เธอเพิ่งเดินผ่านมา เผื่อจะเจอใครบางคนเดินตามหลังมา

ถ้าหากเวลา จะย้อนกลับไปได้อีกสักครั้ง


..


โรงละครมืดตามแบบฉบับโรงละครทั่วไป แต่เก้าอี้คนดูยังว่างเปล่า ไฟบนเวทีเปลี่ยนเป็นสีต่างๆ ตามเสียงสั่งการของผู้กำกับ

ค่ะ ขอไฟแบบนี้นะ นักเต้นจะยืนอยู่ตรงนี้” เสียงห้วนดังผ่านไมค์ “เอ่อไม้.. ขึ้นไปอัพสเตจหน่อย หน้าตกไฟ” ร่มไม้ขยับถอยหลังตามเสียงสั่งการ

นักเต้นจะโซโล่ในความเงียบประมาณสิบห้าวินาที พอเห็นนักเต้นทำท่านี้” ร่มไม้ทำท่าให้ดูอย่างคนรู้งาน “อ่า.. ใช่ ขอบใจมากไม้ นี่คือคิวให้ดนตรีเข้า คิวนี้สำคัญนะ พลาดไม่ได้ เอาล่ะ รัน”

ไฟบนเวทีดับมืดลง ก่อนจะสลัวรางขึ้นเป็นลำดับ ฉากหลังที่ไล้ด้วยแสงสีน้ำเงินส่งให้เงาดำของนักเต้นกลายเป็นภาพซิลลูเอท ดนตรีดังขึ้นมาตามคิวพร้อมไฟสีส้มที่ส่องมาจากด้านข้าง ทำให้ภาพบนเวทีดูมีมิติมากขึ้น

สวยจัง” คนพูดเหงื่อยังโทรมกายเพราะเพิ่งเสร็จสิ้นการซ้อมในฉากก่อนหน้านี้ และเพิ่งจะเดินลงมาสมทบกับเพื่อนสนิทที่หน้าเวทีได้ไม่นาน

นั่นสิ รู้สึกเหมือนไม้เรืองแสงได้เลย” นุ่นพูด

บ้า อินุ่น นั่นคนนะ ไม่ใช่ปลาไหลไฟฟ้า” ใครอีกคนสวนขึ้น ส่งผลให้ทั้งกลุ่มหัวเราะพรืดออกมา


นักแสดงโปรดงดใช้เสียงด้วยค่ะ” เสียงดุของผู้กำกับสาวดังขึ้นเบาๆ เพราะไม่ได้พูดผ่านไมค์ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ทั้งกลุ่มเงียบเสียงลงทันควัน ทอแสงหันกลับไปสนใจภาพบนเวทีอีกครั้ง ร่มไม้กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของโซโล่ที่เขาจะต้องอิมโพรไวส์ท่าเต้นไปกับดนตรี

ใช่ว่าทอแสงจะไม่เคยเห็นร่มไม้เต้น แต่ร่มไม้ที่เธอเห็นในสตูดิโอตลอดระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ซ้อมด้วยกันนั้น มันช่างแตกต่างกับผู้ชายบนเวทีในเวลานี้เสียจริง เวทีเผยให้สิ่งที่อยู่ในตัวร่มไม้ได้แสดงออกมา มันคือวิญญาณของนักเต้นนักแสดงที่ใช่ว่าจะมีกันได้ทุกคน คือความสง่างามและพลังงานที่แผ่ออกมาจากข้างใน ซึ่งน้อยคนนักที่จะเข้าถึงมันได้เพียงนี้

และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นร่มไม้อิมโพรไวส์บนเวที ทอแสงเคยได้ยินมานานแล้วว่า ถ้ามีประสบการณ์มากพอ เราก็สามารถ “อ่าน” คนจากการอิมโพรไวส์ของเขาได้ เพราะทั้งประสบการณ์ ความรู้สึก และบุคลิกนิสัยล้วนสะท้อนอยู่ในท่าเต้นที่คนเต้นแสดงมันออกมาอย่างอิสระ

แต่ทอแสงไม่ได้มีประสบการณ์ขนาดนั้น เธอเพียงแต่รู้สึกว่ามีบางอย่างในการอิมโพรไวส์ของร่มไม้ที่มันดึงดูดสายตาเธอ


เธอเคยถามเขาครั้งหนึ่งเมื่อคราวซ้อมร่วมกัน

ไม้เต้นที่ไหนมาก่อนเหรอ” คำถามของเธอทำให้เขาหัวเราะ

มีแต่คนถามเราแบบนี้ ทำไมเหรอ”

คือเราแปลกใจว่าทำไมเราไม่เคยเจอกันมาก่อนน่ะ” ทอแสงอยู่ในวงการเต้นมานานจนพอจะรู้ว่าวงการเต้นไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก และแต่ละสตูดิโอก็รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น

แต่กับร่มไม้ เธอเพิ่งจะเจอกับร่มไม้ในงานนี้เป็นครั้งแรก ทั้งๆ ที่ฝีมือระดับเขาก็ไม่น่าจะใช่คนที่เพิ่งเข้าวงการอย่างแน่นอน ทอแสงจึงอดแปลกใจไม่ได้

เราเคยเรียนกับพี่น้ำมาก่อน” ร่มไม้หมายถึงผู้กำกับและผู้ออกแบบท่าเต้นสาวเสียงดุที่กำลังคุมการซ้อมอยู่นี่เอง “ แต่เริ่มเรียนตอนโตแล้วนะ แล้วก็ออดิชั่นได้ทุนไปเรียนฟูลไทม์สคูลที่ฮ่องกงมาปีหนึ่ง เลยยังไม่ค่อยรู้จักใครเท่าไหร่น่ะ นี่เราก็เพิ่งกลับมา พี่น้ำก็ชวนมาเต้นงานนี้”

ทอแสงตาโต ร่มไม้หมายถึงโรงเรียนเต้นจริงๆ จังๆ ที่ตื่นมาก็เรียนเต้น ตกเย็นก็ซ้อมแสดง เธอเองเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก เคยแอบคิดเล่นๆ ว่าอยากจะไปเรียนในโรงเรียนแบบนั้นเช่นกัน แต่ก็ได้แค่คิด เพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม แต่ดูสิ ร่มไม้เพิ่งมาเรียนตอนโตแล้วเขาก็เก่งพอที่จะสอบชิงทุนไปได้

เก่งจัง” ทอแสงบอกเพื่อนใหม่

เรามีความฝันน่ะ” ร่มไม้พูดพร้อมรอยยิ้ม


เหมือนทุกครั้ง ก่อนการแสดงเริ่ม ทอแสงแต่งหน้าทำผมเสร็จก่อนคนอื่น เธอสวมชุดแสดง แล้วเดินออกจากห้องแต่งตัวพร้อมกับพวงมาลัยในมือ มุ่งหน้าไปยังห้องพระหลังเวที ห้องสี่เหลี่ยมอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้บูชา และกลิ่นธูปในกระถางที่ยังไม่หมดดอก แสดงว่าเพิ่งจะมีคนมาไหว้ครูเมื่อสักครู่นี้เอง เธอทรุดตัวลงนั่งพับเพียบตรงหน้าพระพุทธรูป ศีรษะเทพ และศีรษะครูโขนซึ่งตั้งเรียงรายอยู่หลังควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เบื้องหน้ากำแพงสีดำทึบโดยรอบ ภาพเหล่านี้ทอแสงเห็นมาจนชินตานับแต่ครั้งยังเป็นเด็กตัวน้อยใส่ถุงน่องสีชมพูวิ่งเล่นอยู่หลังเวที เอมอรครูบัลเล่ต์คนแรกของเธอพาเธอและเพื่อนๆ เข้ามาในห้องพระแห่งนี้ มือน้อยๆ ถือพวงมาลัยกันมาคนละพวงเพื่อไหว้ครู แต่ไหนล่ะ ไม่เห็นมีครูสักคน ไหว้ครูเอมเหรอ เด็กหญิงทอแสงเคยคิดอย่างนั้น

ที่เห็นอยู่นี้คือครูบาอาจารย์ของพวกเราจ้ะ เป็นครูของครูของครูของครู” เอมอรพูดยิ้มๆ แล้วพาเด็กๆ นั่งต่อหน้าศีรษะเทพเจ้าและศีรษะครูหัวโขนที่เรียงรายอยู่ในห้อง “ก่อนจะขึ้นแสดง เราจะต้องไหว้ครูกันก่อนนะจ๊ะ เพื่อให้เราเต้นได้อย่างมั่นใจไงล่ะ” เอมอรอธิบายเท่าที่เด็กน้อยจะเข้าใจได้ เธอกล่าวคำบูชาครูตามเอมอร ก้มกราบตามคำสั่ง พอเสร็จสิ้นก็รีบกระถดถอยออกจากห้องด้วยความเกรงกลัว

แต่ในวันนี้ ความรู้สึกเช่นนั้นปลาสนาการไปสิ้น ความเกรงกลัวในวันก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพันในวันนี้ เธอนั่งพับเพียบ จุดธูปแล้วยกมือประนมระหว่างอก กล่าวคำบูชาครูที่เธอจำได้หมดแล้วในใจ และแทนที่จะรีบลุกออกไปอย่างรวดเร็วอย่างที่เคยเป็นเมื่อก่อน เธอกลับยังคงนั่งสงบนิ่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ นั้น

ทอแสงปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปนานเท่าไหร่เธอไม่ได้สนใจ มีเวลาเหลืออีกมากก่อนการแสดงจะเริ่ม ทอแสงตั้งจิตอธิษฐาน ขอบคุณครูบาอาจารย์ทางด้านการแสดงทุกท่าน การแสดงวันนี้เธอจะทำให้ดีที่สุด เพราะนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะใช้ชีวิตเยี่ยงนักเต้น


พี่น้ำ หนูคงเต้นงานนี้เป็นงานสุดท้ายแล้วล่ะค่ะ” เมื่อสองเดือนที่แล้ว ทอแสงบอกน้ำใสเช่นนี้

อ้าว ทำไม เธอจะไปไหน”

หนูคงต้องกลับไปทำงานที่บ้านแล้วล่ะค่ะพี่น้ำ เลยวัยรุ่นมานานแล้ว ต้องหาอะไรทำจริงๆ จังๆ สักที” ทอแสงเองก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรทำ แต่ที่เธอยังคงดึงดันที่จะเต้นๆๆ อยู่แม้มันจะหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้จริงจังเช่นนี้ ก็เพราะใจรักที่จะเต้นเท่านั้น จะว่าไปก็นับว่าเธอโชคดีกว่าเพื่อนๆ นักเต้นหลายคนที่ต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการไปเป็นนักเต้นตามผับตามบาร์ เพราะลำพังการเป็นนักเต้นอาชีพที่เฉิดฉายบนเวทีอย่างที่ทุกคนใฝ่ฝันนั้น เลี้ยงได้แค่หัวใจ แต่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแทบจะไม่ได้เลย

อาจจะเรียนต่อด้วยน่ะค่ะพี่”

อืม พี่เข้าใจนะ นี่แหละชีวิต ต้องแบ่งภาค แบ่งเวลาให้ถูก ไม่มีใครทำตามความฝันของได้ทุกคนหรอก”

นั่นแหละค่ะพี่คือสิ่งที่หนูคิด หนูไม่ได้ทิ้งความฝันของหนู แต่มันคงถึงเวลาที่จะต้องโตแล้วไปต่อเสียที”

แล้วจะเลิกเต้นไปเลยเหรอ” น้ำใสอดถามไม่ได้ คราวนี้ทอแสงอึกอัก จนคนถามอมยิ้ม

แน่ะ ยังไม่พร้อมจะทิ้งละสิ นี่แหละน้า ก็คนมันรัก” ทอแสงยิ้มแห้งๆ

คงเลิกเต้นไม่ไหวหรอกค่ะพี่ แต่คงต้องทำใจว่ามันเป็นได้แค่งานอดิเรกเท่านั้นเอง คงมาทำคลาสบ้างถ้ามีโอกาส ที่สอนอยู่ก็คงสอนต่อไป แต่คงมาขลุกอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนอย่างแต่ก่อนไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”

ชีวิตคนเราเมื่อถึงเวลามันก็ต้องเลือกแหละเนอะ แต่ยังไงทอแสงก็บอกคุณทีน่าด้วยนะ” น้ำใสหมายถึงเจ้าของบ้านสวนสตูดิโอนี่เอง ซึ่งแม้ทีน่าจะอยู่ในฐานะผู้ว่าจ้าง แต่สำหรับนักเต้นที่นี่แล้ว ทีน่าก็นับว่าเป็นครูคนหนึ่งเช่นกัน

ค่ะ พี่น้ำ”

..เสียดาย หากย้อนเวลากลับไปได้.. ทอแสงบังคับตัวเองให้หยุดคิดเพียงแค่นั้น ควันธูปที่ลอยผ่านหน้าดึงเธอกลับให้มาอยู่ในปัจจุบันขณะ มีประโยชน์อะไรกับการมัวพร่ำพรรณาถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อย่างที่เธอได้บอกน้ำใสไว้นั่นแหละ เธอควรจะโตและก้าวต่อไปเสียที เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเกิดมาโชคดีพอที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก

..ขอคุณครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จงลงมาสถิตแห่งสกลกาย..

ทอแสงกล่าวประโยคนี้ในบทไหว้ครูที่เธอท่องจำมาแต่เยาว์วัยอีกครั้ง การแสดงคราวนี้จะถือเป็นบทไหว้ครู เธอจะเต็มที่กับมัน เพื่อจบชีวิตช่วงนี้ลงอย่างสวยงามที่สุด

No comments:

Post a Comment