การแสดงผ่านไปแล้ว วันหยุดหนึ่งสัปดาห์หลังการแสดงก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน แล้วชีวิตที่บ้านสวนสตูดิโอกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
“อ้าว ทอแสง วันนี้มาได้เหรอ”
“ยังไงก็ต้องมาค่ะพี่น้ำ วันนี้รับเงินค่าตัวนี่” คำตอบของทอแสงทำเอาน้ำใสหัวเราะ เวลาไม่ได้นั่งในที่นั่งของผู้กำกับเธอเป็นพี่น้ำที่น่ารักของน้องๆ เสมอ
“เออ จริงด้วย วันนี้คนเยอะชัวร์เลย”
“โถ พี่น้ำ หนูก็พูดเล่น มองพวกเราเห็นแก่เงินซะแล้วสิพี่เรา”
“อ้าว เงินก็สำคัญนะ มันไม่ได้ให้ความหมายชีวิตเราก็จริง แต่มันทำให้ชีวิตเราเดินไปหาความหมายง่ายขึ้นนะ”
“โอ้โห วันนี้พี่น้ำคมแฮะ” ทอแสงหัวเราะบ้าง ก่อนจะบอก “พี่น้ำขึ้นไปก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวหนูซื้อน้ำก่อน แล้วจะตามขึ้นไป”
น้ำใสพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินแยกไปอีกทาง
จริงอย่างที่น้ำใสคาดการณ์ไว้ เช้าวันนี้นักเต้นของบ้านสวนสตูดิโอมาเข้าคลาสบัลเล่ต์กันค่อนข้างหนาตา ถึงขนาดต้องยกบาร์ลอยออกมากลางห้อง เพราะบาร์ที่ติดอยู่กับผนังห้องนั้นไม่เพียงพอ ซึ่งปกติคนจะแน่นขนาดนี้ก็เมื่อใกล้วันแสดงเท่านั้น
“สวัสดีค่ะทุกคน” ทีน่ากล่าวทักทายขึ้นด้วยภาษาไทยที่ไม่ชัดเท่าไหร่นัก แม้จะเปิดสตูดิโอสอนเต้นในเมืองไทยมาเกือบ 20 ปีแล้วก็ตาม อดีตบัลเลอริน่าจากคณะชื่อดังในออสเตรเลียผู้นี้อยู่ในวัยห้าสิบต้นๆ ไว้ผมบลอนด์หยิกสลวย รูปร่างค่อนข้างท้วมตามวัย แต่มีเค้าโครงว่าสมัยหนึ่งคงจะสวยน่าดู ไม่ว่าจะเป็นโครงหน้าหรือรูปร่าง
วันนี้ไดเร็คเตอร์แห่งบ้านสวนสตูดิโออยู่ในชุดเลียวทาร์ดสีน้ำเงินเข้ม และถุงน่องสีชมพูที่สวมทับด้วยวอร์มเมอร์สีขาว และมีกระโปรงสีน้ำเงินเข้ากับเลียวทาร์ดอยู่ชั้นนอกสุด
“วันนี้คนเยอะมากๆ มารับเงินค่าตัวกันใช่ไหมคะ” คำสัพยอกเป็นภาษาไทยแปร่งๆ ของทีน่า เรียกรอยยิ้มจากทุกคน “โทร.ตามคนที่ไม่มาด่วนเลยนะคะ ถ้าไม่มาเข้าคลาสวันนี้ ดิฉันจะไม่ให้เงินค่ะ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นแทนคำตอบ ค่าตัวที่นักเต้นจะได้รับในวันนี้นั้น มากน้อยแตกต่างกันไปตามจำนวนฉากที่แสดง ซึ่งถือเป็นค่าตอบแทนความเหน็ดเหนื่อย นอกเหนือไปจากความสุขความสะใจที่ได้รับตลอดระยะเวลาสองเดือนของการซ้อมและการแสดง การเป็นนักเต้นอาชีพในเมืองไทยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะหากไม่มีงานแสดงก็เท่ากับไม่มีรายได้ และงานแสดงก็ไม่ได้มีกันบ่อยๆ เสียด้วย แต่ละคนจึงต้องดิ้นรนหางานอื่นทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันทั้งนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมาเข้าคลาสบัลเล่ต์ในตอนเช้าของบ้านสวนสตูดิโอกันได้ทุกวัน แม้ว่าทีน่าจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ก็ตาม
ใช่ ชีวิตแบบนี้มันเหน็ดเหนื่อยมากกว่าคนทั่วๆ ไปที่ไม่ได้เต้นหลายเท่าตัวทีเดียว ซึ่งหากไม่รักและศรัทธาในเส้นทางสายนี้จริงๆ ก็ยากที่จะทนอยู่ได้ และทอแสงก็กำลังจะเป็นหนึ่งในนั้น เธอไม่เชื่อในสิ่งที่เธอรักเสียแล้ว
หากความฝันของเธอมันยากเกินทำให้มันกลายมาเป็นความจริง
...บางที เปลี่ยนความฝันอาจจะยังง่ายเสียกว่า
“นี่ทอแสงครูถามหน่อย อยากเป็นนักเต้นอาชีพรึเปล่า” ครั้งหนึ่งเอมอรเคยถามลูกศิษย์ “เราจะจบ ม.6 แล้วใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วอยากเป็นนักเต้นอาชีพรึเปล่าล่ะ ที่ครูถามเพราะเห็นเราเต้นมานานมาก แล้วครูก็คิดว่าเราก็คงรักมัน”
ทอแสงยังไม่ทันไม่ตอบอะไร คนเป็นครูก็หันไปหยิบแฟ้มจากโต๊ะทำงานยื่นให้ทอแสง มันคือโบรชัวร์ปึกใหญ่จากโรงเรียนเต้นทั่วโลก
“ถ้าคิดจะเป็นนักเต้น ก็ต้องออดิชั่นไปเข้าเรียนจริงๆ จังๆ อยู่แค่เมืองไทยไม่พอหรอก วงการเต้นบ้านเรายังต้องพัฒนาอีกมาก ครูอยากเห็นเราไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ไปเรียน ไปทำงานในประเทศที่เขาเจริญแล้ว สั่งสมประสบการณ์ให้มากๆ แล้วจะได้กลับมาเป็นคลื่นลูกใหม่พัฒนาวงการต่อไป”
ใช่ว่าทอแสงจะไม่อยากเป็นนักเต้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร
“ออดิชั่นไปก็คงไม่ติดหรอกค่ะครู หนูสู้พวกฝรั่งเขาไม่ได้”
“เธอเลิกประสาทเสียที” เอมอรเสียงเข้มใส่ลูกศิษย์ “ถ้าไม่ลองจะรู้เหรอ ลองเอาโบรชัวร์พวกนี้ไปดูแล้วคิดดีๆ”
แต่ทอแสงก็ไม่ได้ดูโบรชัวร์ปึกนั้นจริงจังสักเท่าไหร่ เธอรักการเต้นก็จริง แต่การไปเรียนและเป็นนักเต้นอาชีพอยู่เมืองนอกไม่เคยอยู่ในหัวเธอมาก่อนเลย ในเวลานั้นเธอก็เหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ เรียนพิเศษเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วเธอก็สอบเข้าได้สมใจอยาก และก็เหมือนกับว่าชีวิตนี้ประสบความสำเร็จแล้ว เธอเพิ่งจะมารู้ตัวเอาเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่านั่นคือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่กำหนดอนาคตของเธอ
ไม่ใช่เป็นการกำหนดเส้นทางให้เธอเดิน หากนั่นเป็นการปิดบางเส้นทางไม่ให้สามารถย้อนกลับไปเลือกเดินแล้วได้อีกต่างหาก
แต่จะว่าไป การตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้งในวันนี้ กลับเจ็บปวดน้อยกว่าที่คิด เธอไม่ได้ทิ้งความฝัน แค่ชีวิตมันต้องเดินทางต่อไป เหมือนเด็กคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะรักชีวิตมัธยมแค่ไหน เขาก็ยังต้องก้าวไปในรั้วมหาวิทยาลัยอยู่ดี การเต้นคงส่งเธอมาจนสุดทางของมันแล้ว เธอต้องเริ่มใช้ชีวิตจริงๆ จังๆ เสียที
พ่อและแม่เธออาจจะพูดถูก เธอต้องโต ทอแสงยิ้มให้ตัวเองในใจ
“รวยแล้ว ไปกินข้าวกัน” นุ่นเอ่ยปากชวนเมื่อทุกคนรับเงินกันเรียบร้อย
“ไปๆๆ นุ่นเลี้ยง” แล้วทั้งกลุ่มก็เฮโลตามกันอย่างไม่ยั้ง
“ไอ้พี่ภูมิบ้า ตัวเองนั่นแหละเลี้ยง เต้นมันแทบจะทุกฉากอยู่แล้ว รวยสุดแล้วตอนเนี้ย” นุ่นส่งลูกกลับได้ทันท่วงที
“โหย เซ็งเลย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เอาไปๆ ก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย”
“เฮ้ย เลี้ยงจริงน่ะ” คนบอกให้เลี้ยงกลับไม่แน่ใจขึ้นมา
“จริงซี่ เลี้ยงน้ำแข็งเปล่าคนละแก้ว โอ๊ย..” เสียงร้องตอนสุดท้ายดังขึ้นเมื่อนุ่นคว้าเอารองเท้าพอยท์ชูวส์แข็งโป๊กที่เอาไว้สำหรับยืนบนปลายเท้าฟาดภูมิเข้าให้ที่ตาตุ่ม
“เห่ยเฮ้ย! เขียวแน่ เต้นไม่ได้แล้ว เดี๋ยวพี่จะฟ้องคุณทีน่า” คนพูดพูดพร้อมหัวเราะทั้งที่หน้ายังเหยเก แต่ทั้งกลุ่มหัวเราะร่วนอย่างไร้ความเห็นใจ
“แต่งเมื่อไหร่พี่ภูมิคงน่วมเช้าน่วมเย็น” ใครสักคนในกลุ่มแซวขึ้น แล้วก็ต้องรีบหลบฉาก เพราะสาวนุ่นหันขวับพร้อมกระชับพอยท์ชูวส์ในมือแน่น
“โอ๊ย พอแล้วๆ นั่นเครื่องมือทำมาหากินนะนุ่น แพงอยู่นะ” ทอแสงร้องบอกเพื่อนทั้งเสียงหัวเราะ นุ่นจึงยอมเก็บพอยท์ชูวส์ลงกระเป๋า ไม่นานทั้งกลุ่มก็เดินออกจากบ้านสวนสตูดิโอมุ่งหน้าไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ
แม้ลูกค้าจะเต็มร้าน แต่เมื่อมือลวกก๋วยเตี๋ยวหันมาเห็นลูกค้าประจำกลุ่มนี้ ก็ล้งเล้งบอกพนักงานในร้านให้รีบจัดโต๊ะให้ทันที เพียงอึดใจเหล่านักเต้นราวสิบชีวิตก็มีโต๊ะนั่ง พร้อมก๋วยเตี๋ยวและเครื่องดื่มเสิร์ฟเร็วทันใจ
และเมื่ออิ่มท้องกันแล้วทั้งกลุ่มยังคงอ้อยอิ่งอยู่ในร้าน ไม่ต้องรีบกลับไปซ้อมเหมือนทุกครั้ง
“เสร็จแล้วไปไหนต่อนี่”
“พี่กลับไปบ้านสวน เดี๋ยวมีประชุม” ภูมิรายงาน เขาเป็นครูประจำที่บ้านสวนสตูดิโอ
“ประชุมเรื่องอะไรเหรอพี่ พอบอกได้เปล่า”
“เรื่องงานแสดงครั้งต่อไปน่ะสิ เตรียมตัวไว้ให้พร้อมเถอะพวกเรา ปีนี้มีงานแทรกมากลางปีนะจะบอกให้” ภูมิพูดพร้อมยักคิ้ว
“จริงเหรอพี่ งั้นก็ดีสิ อยากเต้นๆ”
“รายละเอียดทั้งหมดพี่ก็ยังไม่รู้ เดี๋ยวประชุมถึงจะรู้ แต่ที่แน่ๆ งานนี้งบเยอะ แต่ซ้อมหนักและต้องออดิชั่นนะจ๊ะ ถึงบอกให้เตรียมตัว พยายามมาเข้าคลาสให้ได้ทุกวัน ใครหายตัวบ่อยๆ ระวังไว้ ไม่ใช่แค่จะไม่ได้เต้น แต่ดีไม่ดีคุณทีน่าอาจจะเรียกคุยรายตัว นี่แอบมาเตือนก่อนนะเนี่ย”
“หนูต้องเต้นตอนกลางคืนน่ะพี่ บางทีมันก็ตื่นไม่ไหว” คนพูดเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสที่เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน
“เรื่องแบบนี้บางทีคุณทีน่าเขาก็ไม่เข้าใจนะจิ๊กกี้ แต่พี่เข้าใจว่ะ คนเรามันก็ต้องหางานหาเงิน” น้ำเสียงของภูมิกึ่งปลอบใจ
“แต่พี่ไม่เห็นด้วยว่ะจิ๊กกี้” ต๊ะพูดสวนขึ้นมา ในบ้านสวนสตูดิโอ ฝีมือเขาเป็นอันดับสองรองจากภูมิ และเขาก็เป็นอีกคนที่ต้องทำงานในผับตอนกลางคืนเช่นกัน “พี่ทำงานมาตลอด แล้วก็มาเข้าคลาสได้ตลอด นอนตอนบ่ายเอาก็ได้นี่”
“แหม พี่ ก็มันเหนื่อย” คราวนี้คนพูดเสียงอ่อย
ตลอดเวลาร่มไม้นั่งฟังเงียบๆ เขาเองก็เพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ในสังคมนี้ได้ไม่นาน แต่ก็รู้อยู่เหมือนกันว่าสถานะนักเต้นในประเทศไทยแปลกประหลาดเสมอ ค่าเล่าเรียนเต้นแพงหูดับ กว่าจะเรียนกันจนพอเต้นเป็นเสียเหงื่อพ่อแม่ไปไม่รู้เท่าไหร่ บางคนไม่โชคดีเช่นนั้นก็ต้องกัดฟันหาเงินส่งตัวเองเรียน แต่พอเรียนจนเต้นเป็นก็กลับต้องไปเต้นตามผับตามบาร์ มีงานแสดงบนเวทีใหญ่ๆ ให้ได้ปีละสองครั้งก็นับว่าโชคดีแล้ว บางคนตื่นเช้ามาเข้าคลาสเป็นนักเต้นหรูหรา ตกเย็นต้องแปลงร่างไปเป็นครูสอนเต้น สอนเสร็จก็สลัดคราบผู้ให้ความรู้ แต่งหน้าแต่งตัวไปเต้นในสถานบันเทิงอย่างไม่เริงใจเท่าไหร่นัก
นั่นไม่ใช่ชีวิตที่เราต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่ฝันเลย .. ร่มไม้บอกตัวเอง .. มันต้องมีทางไปสักทางสิวะ แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น เราจะดำเนินตามความฝันโดยไม่ละทิ้งความรับผิดชอบได้อย่างไร
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ร่มไม้คุยกับตัวเอง นับตั้งแต่ที่เขารู้ตัวว่ารักการเต้นและตัดสินใจที่จะเดินไปบนเส้นทางสายนี้เขาก็ตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองมาโดยตลอด
แค่ชั้นเรียนเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์ในมหาวิทยาลัยที่เพื่อนๆ เรียนเอาขำๆ เพื่อเก็บหน่วยกิต แต่มันกลับเปลี่ยนชีวิตของว่าที่ปริญญาบัณฑิตอย่างร่มไม้ไปตลอดกาล แล้วคนเป็นอาจารย์มีหรือจะดูไม่ออก
“เราเด็กศิลปกรรมรึเปล่า”
“เปล่าครับ ผมเรียนอักษร”
“แล้วเรียนเต้นอยู่ที่ไหน”
“ไม่ได้เรียนครับ ชอบเต้นเฉยๆ”
“หืม..” คนเป็นอาจารย์พิเศษต้องเลิกคิ้ว “งั้นมีพรสวรรค์นะเราเนี่ย อยากเรียนเต้นจริงๆ จังๆ ไหม ตอนนี้มีเปิดสอบชิงทุนเข้าโรงเรียนเต้นที่ฮ่องกงปีหน้า เขาอยากได้นักเรียนผู้ชาย ทุนให้เปล่าด้วยนะ เอาความสามารถเข้าสู้อย่างเดียว”
ฟังดูแล้วไม่น่าง่าย แต่คนอย่างร่มไม้พยักหน้ารับ
“ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองดูครับ” ขึ้นชื่อว่าโอกาส ถ้าหากเราไม่มีทางจะได้มันมาไว้ครอบครองแล้ว ชีวิตคงไม่จัดเตรียมมันมาให้เราในขณะนั้นหรอก เขาเชื่อ
มันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขาก้าวมาถึงจุดนี้ ทั้งๆ ที่ชีวิตเขาไม่น่าจะมาเกี่ยวพันกับการเต้นได้เลย เขายังจำวันที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนคณะไปดูการแสดงคอนเทมโพรารีแดนซ์โดยคณะนักเต้นจากฝรั่งเศสในงานเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศสได้ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้จักกับมันแล้วก็หลงใหลในคอนเทมโพรารีแดนซ์ จนกระทั่งถึงวันที่เขามีโอกาสเข้าลงเรียนวิชานี้เพื่อเก็บหน่วยกิต และวันนี้รายละเอียดการสอบชิงทุนเพื่อเข้าโรงเรียนเต้นก็อยู่ในมือเขาแล้ว
เขาอ่านรายละเอียดอย่างตั้งใจ รายวิชาที่เขาจะได้เรียนล้วนน่าสนใจทั้งนั้น อีกทั้งรายวิชาแปลกๆ ที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
Labanotation .. ลาบาโนเทชั่น รูปแบบการบันทึกท่าเต้นเป็นสัญลักษณ์คล้ายกับการบันทึกโน้ตในทางดนตรี มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือนี่
เขาอ่านไปถึงรายละเอียดของทุน นอกจากจะเป็นทุนให้เปล่าแล้ว ยังมีเบี้ยเลี้ยงรายเดือนให้อีกด้วย คิดเป็นเงินไทยแล้วก็จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าเขาใช้จ่ายอย่างประหยัด ก็อาจจะยังพอมีเงินเหลือพอจะส่งกลับมาให้ครอบครัวได้อีกต่างหาก
การออดิชั่นจะจัดขึ้นในอีกสี่เดือนข้างหน้าที่มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่นี่เอง ซึ่งการคัดเลือกจะเลือกจากเทคนิคบัลเล่ต์เป็นสำคัญ
“อาจารย์ ผมเต้นบัลเล่ต์ไม่เป็น” ไม่ใช่แค่ไม่เป็น แต่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตจะต้องมาเต้นบัลเล่ต์ เขาคิดถึงกระโปรงฟูๆ กับการยืนบนปลายเท้า ..บ้าไปแล้ว.. เขาบอกตัวเอง “อันนี้คือเรียนคอนเทมไม่ใช่เหรอครับ”
“การเต้นแทบทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของเทคนิคบัลเล่ต์ ถ้ารักจะเต้นอย่างจริงจัง ยังไงก็ต้องเรียนบัลเล่ต์นะ ไม่ว่าเราจะไปออดิชั่นที่นี่หรือไม่ก็ตาม”
“ครับ”
“เอาเป็นว่าถ้าเราสนใจจริงๆ ล่ะก็ ครูแนะนำคนที่จะติวเดี่ยวบัลเล่ต์ให้เธอได้ อย่าไปเรียนตามสตูดิโอเลย มันแพง”
ถามไถ่ค่าเล่าเรียนกันเรียบร้อยแล้วร่มไม้ก็ได้แต่ถอนใจ แม้เขาจะรู้ว่าด้วยค่าใช้จ่ายที่ว่ามานี้ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายแค่ค่าเช่าสตูดิโอและค่าเดินทางของครูเท่านั้น เขาไม่อาจให้คำตอบได้ในขณะนั้น
“เอาเป็นว่าไปคิดดูแล้วลองมาบอกครูนะจ๊ะ ไม่ไปไม่เป็นไร ครูแค่เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ดี เป็นทุนที่น่าสนใจ และครูก็คิดว่าเธอน่าจะไปได้ดีถ้าเธอรักมัน เรื่องบางเรื่อง ยอมลงทุนครั้งเดียว ดีกว่าต้องรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิตนะ”
ร่มไม้ไม่ตอบ แต่เขาได้คำตอบแล้ว
“ไม้!” เสียงใสดังขึ้นใกล้ๆ หูจนร่มไม้แทบสะดุ้ง “ลอยไปถึงไหนแล้ว เขาลุกกันแล้ว”
“เปล่าๆ ไปละๆ” ว่าแล้วร่มไม้ก็คว้ากระเป๋าลุกตามทอแสงไป
ภูมิกับนุ่นแยกกับกลุ่มใหญ่กลับไปยังบ้านสวนสตูดิโอ ส่วนคนอื่นๆ ต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน หรือไม่ก็เตรียมตัวทำงานรอบเย็น รอบค่ำกันต่อไป
“ไปไหนต่อเนี่ย” ร่มไม้ถามขึ้น เขากับทอแสงไปทางเดียวกัน
“เข้าบริษัทน่ะ กิจการของที่บ้าน” ทอแสงขยายความ
“จริงเหรอ ดีจัง”
“ไม่ดีเท่าไหร่หรอก” ทอแสงพูดแค่นั้น และร่มไม้ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
“เธอไปไหนล่ะ”
“จะไปหากาแฟกิน นั่งรอขึ้นรถตู้ตอนดึกๆ น่ะ วันนี้เราจะกลับบ้าน” ร่มไม้ตอบ เขาไม่ได้กลับบ้านเลยตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ซ้อมการแสดงอย่างหนักหน่วง จนกระทั่งการแสดงเสร็จสิ้นลงนั่นแหละ เขาถึงได้มีโอกาสกลับบ้าน
“อ้าว อาทิตย์ก่อนหยุดเธอไม่ได้กลับเหรอ”
“กลับไปแล้วล่ะ แต่ก็ยังอยากจะกลับอีก ชดเชยที่ไม่ได้กลับเลยตั้งสองเดือน”
เพราะตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เขาอยู่บ้านทำให้เขารู้ว่า ตัวเขามีความสำคัญต่อครอบครัวแค่ไหน
“พี่ไม้หางานทำที่บ้านเราไม่ได้เหรอ ทำไมต้องเข้ากรุงเทพฯ ด้วย ไม่ไปไม่ได้เหรอพี่” คำถามของน้องชายทำให้มือที่กำลังรูดซิปกระเป๋าเดินทางอยู่ชะงักเล็กน้อย
“โมกข์ อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ สิ โตแล้วนะเราน่ะ”
“พี่ไม้ไม่รู้หรอกว่าเวลาที่พี่กลับมาทีไร บ้านมันก็เป็นบ้าน อย่างน้อยพ่อกับแม่ก็ไม่ทะเลาะกัน” คำพูดของน้องชายทำเอาร่มไม้หัวใจหล่นวูบ เขาเอื้อมมือไปขยี้หัวน้องชายที่เด็กกว่าเขาเกือบสิบปีอย่างรักสนิท
“ไม่เป็นไรนะ พ่อกับแม่เขาดีกันแล้วล่ะ เขาแก่แล้วก็มีงอนกันบ้างตามประสา” ร่มไม้ใช้น้ำเสียงปลอบใจราวกับร่มโมกข์ยังเป็นเด็กเล็กๆ
“คราวนี้พี่ไปนานเท่าไหร่ จะหายไปอย่างคราวก่อนอีกรึเปล่า”
ความรู้สึกผิดแล่นเข้าจับหัวใจคนเป็นพี่ชาย ความบ้างาน ความสนุกกับงาน ทำให้เขาหลงลืมไปว่ายังมีคนที่รอคอยเขาอยู่ ร่มไม้ยิ้มพร้อมสั่นหัว
“ไม่นาน เดี๋ยวก็มา”
No comments:
Post a Comment