4.
“ทุกๆ คน” ภูมิประกาศเสียงดัง “ใครจะมาเวิร์คชอปแล้วยังไม่ได้ลงชื่อ ให้รีบมาลงชื่อเลยนะ”
ทอแสงกำลังจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะโดดงานที่บริษัทออกมา และต้องรีบกลับเข้าไปก่อนบ่ายชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปถามนุ่น
“เวิร์คชอปอะไร”
“เธอไม่ได้อ่านบอร์ดเลยเหรอ” นุ่นทำหน้าอยากจะทุบเพื่อน ทอแสงเองก็หัวเราะ ไม่ได้สนใจเวิร์คชอปที่ว่านี่เท่าไหร่นัก เพราะจะอย่างไรเธอก็คงเข้าร่วมไม่ได้อยู่ดี จนกระทั่งเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและได้คุยกับร่มไม้นั่นแหละ
“มาไหม” เขาถาม
“คงไม่หรอก เธอล่ะ”
“ทำไมเธอไม่สนล่ะ เรามาแน่ๆ”
“จริงๆ เรายังไม่ได้อ่านรายละเอียดเลยล่ะ แต่คิดว่าคงไม่ว่างหรอก”
ร่มไม้ไม่พูดอะไร แต่ลากทอแสงไปที่บอร์ด และชี้ไปที่ป้ายประกาศ ทอแสงมองตาม “คอนเทมโพรารีแดนซ์เวิร์คชอปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มกับ 'เอมิล ว็องแดล' อดีตนักเต้นจากฝรั่งเศส” ชื่อนี้ทำให้ทอแสงตาโต เอมิลผันตัวเองขึ้นไปเป็นนักออกแบบท่าเต้นอิสระ และในปีนี้ เขาก็มีโปรเจ็คต์ร่วมกับบ้านสวนสตูดิโอ การแสดงจะมีขึ้นในเดือนหน้า และผู้ที่เข้าร่วมเวิร์คชอปเท่านั้นที่จะมีสิทธิออดิชั่นเพื่อเข้าร่วมการแสดงในครั้งนี้
“เธอชอบเอมิลไม่ใช่เหรอ”
ทอแสงพยักหน้า การแสดงที่เธอได้ดูเมื่อหลายปีก่อนยังติดตา คำที่เอมิลเคยบอกเมื่อเวิร์คชอปคราวก่อนดังขึ้นในใจทอแสงอีกครั้ง
You can be one of the best in the world. Keep dancing and enjoy your artistic life.
และทั้งๆ ที่บอกกับตัวเองไปแล้วอย่างหนักแน่นและเต็มใจว่าถึงเวลาพอสักที แต่กว่าหนึ่งเดือนที่เธอหันหลังให้มันกลับทำให้รู้สึกชีวิตกลวงโบ๋ว่างเปล่า ยิ่งชื่อของเอมิล ว็องแดลผ่านตาเข้ามาในขณะนี้ มันยิ่งย้ำชัดเจนถึงสิ่งที่ความรู้สึกของเธอว่าชีวิตของเธอตอนนี้ สิ่งสำคัญบางอย่างได้ขาดหายไป สิ่งที่ทำให้อยากที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ..แรงบันดาลใจ
ปฏิทินเวิร์คชอปติดอยู่ข้างๆ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กติดตัวของตัวเองออกมา แล้วก็ดีใจแทบกระโดดเมื่อเปิดดูตารางงานของตัวเอง ทอรุ้ง 'เจ้านาย' สายตรงของเธอเดินสายพบลูกค้าต่างประเทศช่วงเดียวกับการเวิร์คชอปนี่พอดี แม้จะเชื่อได้ว่าทอรุ้งคงต้องสั่งงานให้เธอทำอย่างแน่นอน แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะต้องตอกบัตรเพื่อเข้าไปนั่ง 'ทำ' ในออฟฟิศนี่นา
“ดีนะเนี่ย เธอลากเรามาดูก่อนเนี่ย เป็นช่วงที่เราโดดงานได้พอดีเลย”
“งั้นเจอกันนะ”
“อืม”
สมาชิกที่จะเข้าร่วมเวิร์คชอปมีเพียงครึ่งของสมาชิกทั้งหมดของคอมพานี เวลาพักเพียงสี่สิบห้านาทีไม่เพียงพอสำหรับอาหารกลางวันเต็มรูปแบบ กินมากไปย่อยไม่ทันก็อาจมีผลทำให้รู้สึกหนักและง่วง ส่วนเรื่องกลัวจะหิวนั้นยิ่งไม่ต้องคิด เพราะเต้นถึงเวลาซ้อมเต้นหนักๆ เข้า ใครจะไปคิดถึงความหิว ความเหนื่อยจนหอบอาจทำให้ต้องการแค่น้ำเย็นๆ สักขวด ดื่มน้ำหมดขวดก็แน่นจนอิ่ม มารู้ตัวอีกทีอาจหน้ามืดเป็นลมไปแล้วเพราะหิวข้าวไม่รู้ตัว เวลามีงานซ้อมหนักๆ ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องคุมอาหารหรอก นักเต้นแต่ละคนจะแห้งลงทันตาเห็น
“กินข้าวกันให้พอนะคะทุกคน” ทีน่าต้องบอกนักเต้นอย่างนี้เสมอ แต่เหล่านักเต้นก็ยังคงพกมาเพียงของว่างรองท้อง บ้างก็ผลไม้ บ้างก็แครกเกอร์ บ้างก็เพียงกาแฟหนึ่งแก้ว ทีน่าจึงจัดเตรียมซุปและซีเรียลสำเร็จกึ่งรูปประเภทต่างๆ เอาไว้ให้เสมอที่มุมกาแฟในห้องพัก พอจะเป็นอาหารเบาๆ สำหรับเหล่าสมาชิกไปได้สักมื้อ
ที่บ้านสวนสตูิโอมีห้องพักง่ายๆ บนชั้นสองของเหนือบริเวณที่รับแขกอันเป็นออฟฟิศของสตูดิโอด้วย มีหน้าต่างเปิดโล่ง เพื่อรับลมเย็นอันเป็นผลมาจากต้นไม้เขียวใหญ่โดยรอบ วันดีคืนดีก็มีผีเสื้อบินเข้ามาทักทายให้สมชื่อบ้านสวนสตูดิโอ แต่ทีน่าก็ติดเครื่องปรับอากาศเอาไว้เผื่อสำหรับวันที่อากาศร้อนจัดเช่นกัน โทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดีมีไว้พร้อมสำหรับดูการแสดงของคอมพานีย้อนหลัง หรือดูการแสดงจากที่อื่นๆ โต๊ะยาวกลางห้องมีไว้สำหรับประชุมเท่านั้น ในเวลาพักอย่างนี้ทุกคนต่างเลือกที่จะนั่งหรือนอนอยู่กับพื้นมากกว่า นักเต้นมักจะมารวมตัวกันในนี้ นั่งพัก พูดคุย เพื่อรอซ้อม หรือรอสอนสำหรับคนที่มีสอนชั้นเรียนเต้นในตอนเย็นเพราะทีน่ามีทั้งโรงเรียนเต้นและคอมพานีควบคู่กันไป ครูผู้สอนทั้งหมดก็มาจากสมาชิกของคอมพานีนั่นเอง
และเพราะหน้าต่างที่เปิดโล่งทำให้คนในห้องรับรู้ได้ถึงความเป็นไปข้างล่าง เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ดังใกล้เข้ามาตามทางเดินสู่คือเสียงของทีน่า และเสียงของชาวต่างชาติอีกคน ไม่ต้องเดาให้ยาก ทุกคนรู้ทันที เอมิลมาถึงแล้วทีน่าเดินนำทางเอมิลเข้าไปด้านในซึ่งเป็นห้องสตูดิโอ ห้องอาบน้ำ และห้องแต่งตัว นักเต้นบางคนที่จัดการกับ 'ของว่าง' มื้อกลางวันของตนเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับไปยังห้องสตูดิโอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเวิร์คชอปที่กำลังจะมีขึ้น
ไม่นานทุกคนก็มาพร้อมหน้ากันในสตูดิโออีกครั้ง แม้จำนวนคนจะไม่มากเท่าช่วงเช้า แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาเท่าไหร่นัก เพราะมีคนภายนอกที่ไม่ได้เป็นสมาชิกมาเข้าร่วมเวิร์คชอปด้วย เพียงแต่ต้องจ่ายเงินในขณะที่สมาชิกของคอมพานีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย เพราะทีน่านำเงินที่ได้จากการทำโรงเรียนเต้นมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ทีน่าหวังจะได้เห็นคณะบัลเล่ต์ดีๆ ในเมืองไทย เธอจึงพยายามทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านมาเกือบยี่สิบปี ความหวังของเธอก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว เพียงแค่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะเธอยังไม่สามารถจะจ่ายเงินเดือนให้เหล่าสมาชิกได้ คงทำได้เพียงจัดคอมพานีคลาสและเวิร์คชอปให้แก่นักเต้นของเธอแทนค่าจ้างเงินเดือนเท่านั้น
การเชิญเอมิลมาในคราวนี้ใช้เงินไม่ใช่น้อย แต่เพราะคอนเนคชั่นที่ทีน่ามีอยู่กับสมาคมฝรั่งเศสจึงได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง เวิร์คชอปและการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากนี้จึงเกิดขึ้นได้
บ่ายโมงตรง เอมิล ว็องแดล ก็เดินเข้ามาในสตูดิโอ เขาเป็นชาวฝรั่งเศสผมสีเข้ม รูปร่างสูง วันนี้เขาใส่กางเกงขายาวสีดำทรงตรงธรรมดา และเสื้อกล้ามสีเทาเผยให้เห็นท่อนแขน และบางส่วนของอกและหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดเรียวอย่างนักเต้นอาชีพ
ทีน่าเดินตามเอมิลเข้ามา แล้วกล่าวแนะนำเอมิลให้ทุกคนรู้จักเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เขาได้เข้าใจด้วย
“นี่คือคุณเอมิลนะคะ”
“ซาวัดเดข่าบบบ” เอมิลทักทายทุกคนเป็นภาษาไทยแปร่งจัด แสดงว่าเพิ่งจะเรียนคำคำนี้มาได้ไม่นาน เรียกรอยยิ้มกว้างจากทุกคน
“สวัสดีค่ะ/ครับ”
“ทุกคนคงทราบตารางเวลาการเวิร์คชอปครั้งนี้อยู่แล้วนะคะ จากวันนี้ถึงวันศุกร์เราจะมีเวิร์คชอปกันทุกวัน ตั้งแต่บ่ายโมงถึงสี่โมง การเวิร์คชอปนี้ถือเป็นการออดิชั่นไปในตัวเลยนะคะ ส่วนคุณเอมิลจะเลือกกี่คนอันนี้ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือคนที่ไม่เข้าร่วมเวิร์คชอปก็จะไม่ได้แสดงนะคะ อันนี้ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว เอาล่ะค่ะ ขอให้สนุกค่ะ”
ทีน่าพูดจบก็กล่าวขอตัวไปนั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก เอมิลยิ้มให้ทุกคน แล้วเริ่มกล่าวคำแนะนำคลาส ภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสออกจะแปร่งหูสำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับร่มไม้แล้ว เขาคุ้นชินกับสำเนียงอังกฤษแบบนี้ เพราะอาจารย์หลายท่านในมหาวิทยาลัยก็สอนเขาด้วยสำเนียงแบบนี้
เอมิลกล่าวถึงการแต่งกายในคลาสคอนเทมโพรารีแดนซ์เขาขอให้ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อและกางเกงที่ไม่ฟิตจนเกินไป ไม่ต้องแนบเนื้อ ขอแค่อย่าหลวมโพรกเพรกจนเต้นไม่ได้เท่านั้นพอ ตอนนี้หลายๆ คนยังอยูในชุดบัลเล่ต์ ถุงน่อง ไม่ก็กางเกงขาสั้นแนบเนื้อ มีเพียงร่มไม้ ทอแสง ภูมิ และคนญี่ปุ่นที่มาเข้าร่วมเวิร์คชอปด้วยเท่านั้นที่แต่งกาย 'ถูกระเบียบ'
“ผมต้องการให้ร่างกายของพวกเราได้รีแล็กซ์ การเต้นบัลเล่ต์มันต้องควบคุมร่างกายมาก มันก็จำเป็นสำหรับการฝึกเทคนิค แต่สำหรับการเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์แล้วการรีแล็กซ์ร่างกายให้ได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน” เอมิลอธิบาย
“และผมอยากให้พวกเราใส่กางเกงขายาว จะเท้าเปล่าหรือใส่ถุงเท้าก็ได้ เพราะมันมีบางท่าที่ต้องสไลด์ไปกับพื้นและอาจทำให้ผิวไหม้ได้ อย่างเช่น..”
ว่าแล้วเอมิลก็วิ่งอย่างเร็วไปจนเกือบถึงอีกฝั่งของห้อง แล้วปล่อยให้เท้าสไลด์ไปกับพื้นด้วยท่าทางเหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น หลังจากนั้นก็ทิ้งตัวลงกับพื้น แล้วสไลด์ด้วยท่อนขากลับมาจนเกือบถึงกลางห้อง
“.. เป็นต้น”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อย เอมิลพูดต่อ
“นั่นคือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราจะได้ฝึกกัน ผมบอกไว้ก่อนเลยว่ามันสนุกมาก” เอมิลมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้ใครมีถุงเท้าให้ไปใส่ถุงเท้า ใครมีเสื้อแขนยาว หรือเสื้อยืด ก็ให้หยิบมาใส่เสีย ถ้ามีกางเกงขายาวหรืออย่างน้อยก็ถุงน่องก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่มี็ไม่เป็นไรครับ”
แต่กระเป๋าใบโตของนักเต้นมักจะมีเกือบทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่มีก็หาหยิบยืมได้ไม่ยาก ในห้องพักก็พอจะมีเสื้อผ้าของเหล่าสมาชิกเก็บไว้อยู่เหมือนกัน บ้างสะอาด บ้างก็ยังไม่ซัก แต่ก็ไม่เป็นไร พอจะแก้ขัดกันไปได้ ไม่นานทุกคนก็กลับเข้ามารวมตัวกันในสตูดิโออีกครั้ง แล้วคลาสก็เริ่มขึ้นได้เสียที
การวอร์มเริ่มต้นขึ้นที่กลางห้อง ไม่ใช่ที่บาร์แบบการเต้นบัลเล่ต์
“ไม่ต้องเปิดปลายเท้าออก แน่ใจว่าปลายเท้าทั้งสองข้างชี้ไปด้านหน้า ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ” เอมิลตรวจดูตำแหน่งของกระดูกสันหลังจนแน่ใจว่าไม่มีใครแอ่นหลังหรือโค้งหลัง
“ก้มหัวลง แล้วค่อยๆ ปล่อยต้นคอตาม หัวไหล่ แผ่นหลัง นั่น อย่างนั้นแหละครับ รู้สึกถึงน้ำหนักของหัวเรา มันหนักถึง 3-5 กิโลเลยทีเดียว”
สิ่งเหล่านี้เป็นที่คุ้นเคยอย่างยิ่งสำหรับร่มไม้ และมันทำให้เขานึกไปถึงชีวิตที่ฮ่องกงที่เขาเคยได้เรียนสิ่งเหล่านี้ การเรียนเต้นในโรงเรียนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การแข่งขันที่สูง ร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนัก ประกอบกับการที่เพิ่งมาเริ่มเรียนเต้นตอนโตทำให้เขามีปัญหาทางเทคนิคหลายอย่าง แต่กระนั้น เขาก็เต็มใจที่จะโอบกอดความยากลำบากทั้งหมดเอาไว้ และมันก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งหมด
เพราะสิ่งสำคัญคือ .. เขาได้พบแล้วว่า ชีวิตนี้ เขารักที่จะทำอะไร
เหมือนได้พบหนทางของตัวเอง ตั้งแต่เด็กมาแล้วเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองชอบอะไร เรียนหนังสือก็อยู่ในระดับกลางๆ กิจกรรมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก เพื่อนร่วมชั้นเรียนหลายคนต่างกำหนดจุดหมายให้ชีวิต บ้างอยากเป็นหมอ บ้างอยากเป็นวิศวกร บ้างอยากเป็นสถาปนิก บ้างก็มุ่งมั่นจะเป็นนักกีฬา ก็ตามความฝันของเด็กผู้ชายทั่วไปนั่นแหละ แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้สึกอยากจะเป็นอะไรสักอย่าง จนเขารู้สึกว่าชีวิตนี้มันช่างเรื่อยเปื่อยเสียจริง แม้แต่คณะที่เขาเลือกเข้าเรียน ก็ไม่ใช่เพราะความชอบ ก็เลือกตามกลุ่มเพื่อนไปเสียอย่างนั้น แต่กลับกลายเป็นว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสอบเข้าได้ และเผอิญว่าเขาสามารถเรียนได้อยู่ในเกณฑ์ดีเสียด้วย
ในบางครั้ง ชีวิตมันก็เป็นเรื่องของโชคชะตามากกว่าความตั้งใจ ก็ไม่ใช่เพราะคณะนี้หรอกหรือที่ทำให้เขาพบสิ่งที่เขาสนใจเสียที และช่วงเวลาที่เขาไปเรียนอยู่ในโรงเรียนเต้นที่ฮ่องกงนั้นก็ยิ่งยืนยันว่า .. เขาได้พบมันแล้วจริงๆ ขอบคุณทุนให้เปล่าที่เขาได้รับจากโรงเรียนนี้ ปีแรกผ่านไปด้วยดี ก็ย่อมจะไม่มีปัญหาในการขอต่อทุนสำหรับการเรียนในปีที่สองและปีที่สามอย่างแน่นอน
การมีความฝันในชีวิตมันดีอย่างนี้เอง แต่ละวันมันช่างมีความหมาย แม้ว่ามันจะหนัก จะเหนื่อย จะเครียด หรือท้อแท้สักแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่แคร์เพราะเขามองไปที่จุดเดียว คือ ข้างหน้า ชีวิตกลายเป็นเรื่องสนุก และปลุกให้เขาลุกจากที่นอนในทุกเช้าเพื่อไปโรงเรียนอย่างมีความหวัง ชีวิตนี้เขาอุทิศเพื่อมันไปเสียแล้ว พอกันทีความเรื่อยเปื่อยไร้จุดมุ่งหมายที่เขาอยู่กับมันมาทั้งชีวิต ถึงวันนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการอะไรและเขาก็ตั้งใจที่เดินตามมันไปจนสุดทาง เขาวาดภาพตัวเองจบการศึกษาจากที่โรงเรียนนั้น และเดินทางไปออดิชั่นในทวีปยุโรป ดินแดนแห่งศิลปะ
แต่ในเมื่อชีวิตเป็นเรื่องของโชคชะตามากกว่าความตั้งใจ และเป็นโชคชะตาที่พาเขาไป เขาก็โดนโชคชะตานั่นแหละพัดกลับมา ข่าวร้ายของครอบครัวที่เขาได้รับเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถเรียนต่อได้อีกต่อไป
ภาพความสุขบนเกาะฮ่องกงหายวับเมื่อร่มไม้บอกตัวเองให้หยุดคิดทันควัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะคิดถึงเรื่องนั้นอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงคนที่จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ ไม่มีประโยชน์ที่จะบั่นทอนความรู้สึกตัวเองและเฝ้าแต่โทษโชคชะตาที่เขาควบคุมมันไม่ได้ ก็เพราะความสงสารตัวเองนั่นแหละจะยิ่งทำให้ตัวเองอ่อนแอ เขาควรจะภูมิใจในตัวเองสิ เพราะก็ตัวเขาเองไม่ใช่หรือที่กลับมาเยียวยาครอบครัวของเขาได้ทันท่วงที และอย่างน้อย .. อย่างน้อยวันนี้เขาก็ยังได้เดินบนเส้นทางสายนี้อยู่ แม้ว่ามันจะลำบากสักหน่อยก็ตาม
ร่มไม้ดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันได้สำเร็จ และกำลังมีความสุขกับวินาทีนั้นอย่างเต็มที่ เขาสุขอย่างยิ่งที่ได้เต้น และได้ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะลมหายใจด้วยความคุ้นเคย ในชั่วโมงสุดท้ายของการเวิร์คชอปในวันนี้ เอมิลต่อท่าที่เขาจะใช้แสดงในเดือนหน้า ท่าที่เอมิลคิดนั้นไม่ได้กำหนดตายตัว เป็นเพียงโครงร่างคร่าวๆ มาเท่านั้น เหลือช่องว่างให้นักเต้นได้อิมโพรไวส์ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในการแสดงด้วย แต่กระนั้น หลายคนก็เริ่มหลบไปนั่งหลังห้องเพราะตามไม่ทัน แต่ไม่ใช่ร่มไม้แน่ เพราะสำหรับเขา เวิร์คชอปที่แสนสนุกกับความสุขในอดีตที่เขาโดยหาอยู่เสมอ กำลังทาบทับเป็นสิ่งเดียวกัน
“หนุ่มน้อย คุณชื่ออะไร” เอมิลไม่ได้เพียงแค่เห็นความสามารถของร่มไม้ แต่เห็นศักยภาพที่จะทำให้ขีดความสามารถของร่มไม้พัฒนาไปได้อีกไกลในอนาคต
“ร่มไม้ .. เอ่อ คุณเรียกผมว่าไมค์แล้วกันครับ”
“โอเค ไมค์ ก่อนจะจบคลาสในวันนี้ คุณรังเกียจไหม ถ้าผมจะขอให้เต้นโชว์ให้พวกเราดูสักหน่อย”
ร่มไม้หันซ้ายหันขวา เขาแอบตกใจ สีหน้าของเขาทำให้เอมิลหัวเราะ แล้วดึงแขนทอแสงไปยังกลางห้อง
“เอ้า เดี๋ยวสาวน้อยคนนี้จะเต้นเป็นเพื่อน”
คราวนี้ร่มไม้ยิ้มออก แต่เป็นทอแสงเองที่หน้าตื่น ร่มไม้เต้นสวยจริงๆ นั่นแหละ เธอมองเขามาอย่างชื่นชมมาตลอดคลาสแม้จะแอบอิจฉาอยู่นิดๆ ก็ตาม แต่การที่เราอิจฉาใครมันก็แปลว่าเราชอบเขาไม่ใช่หรือ ถ้าเอมิลให้เธอเต้นคู่กับเขา ก็แสดงว่าตัวเธอเองก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน
เสียงเพลงดังขึ้น ทั้งคู่มองตากันในกระจก เอมิลไม่นับให้เพราะเพลงที่เปิดนี้ไม่มีจังหวะให้นับ และการจะเต้นไปด้วยกันให้ได้นั้น ต้องใช้ 'ความรู้สึก' ล้วนๆ
ทั้งคู่ล้วนเข้าใจ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายหายใจเข้า เราก็ต้องหายใจเข้าไปพร้อมกับเขา เมื่อหายใจออกร่างกายเราก็จะเคลื่อนไหว และเมื่อไหร่ที่เราหายใจพร้อมกัน เราก็จะเต้นพร้อมกันเอง ลมหายใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะอ่านลมหายใจของกันก็ไม่ต่างจากการอ่านใจกันและกัน ไม่แปลกที่คู่เต้นที่เต้นด้วยกันมานานย่อมจะจับลมหายใจของกันและกันได้ แม้แค่ตั้งท่าจะหายใจเข้าก็รู้แล้วว่าอีกคนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน
ร่มไม้เองเรียนมาแบบนั้น และสำหรับทอแสง แม้เธอจะไม่ได้มีโอกาสได้ไปร่ำเรียนถึงที่อย่างร่มไม้ แต่สิ่งเหล่านี้ เอมิลเองก็เคยสอนไว้ในวันท้ายๆ ของเวิร์คชอปเมื่อหลายปีก่อนที่เธอยังจำได้ดี แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่มีทีท่าว่าจะจำเธอได้เลยด้วยซ้ำ
ร่มไม้หายใจเข้าพร้อมกับที่ทอแสงหายใจเข้าเช่นกัน ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกพร้อมกัน ในจังหวะเดียวกับที่ขาทั้งสองย่อลงตามแรงดึงของมือขวาที่ปล่อยตกลงเรี่ยพื้น ทั้งคู่สูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ขาขวายึดพื้นไว้มั่นในขณะที่ค่อยๆ เหยียดตรงขึ้น พร้อมกับมือขวาและขาซ้ายที่วาดขึ้นเป็นวงกลมช้าๆ จนกระทั่งหายใจเข้าจนสุดปอด จึงกระแทกลมหายใจออก พร้อมกับเก็บขาซ้ายและแขนขวาหดเข้ากับลำตัวพร้อมกัน ก่อนจะทิ้งลำตัวลงกับพื้น ม้วนลำตัวบนแผ่นหลังแล้วกลับมาขึ้นมายืนอีกครั้ง โดยหันหน้าไปทางมุมซ้ายของห้อง คราวนี้ร่มไม้อยู่ด้านหน้า
ร่มไม้รู้ว่าในขณะนี้เขาเป็นผู้นำ และรู้อีกแหละ ว่าทอแสงจะตามจังหวะการหายใจของเขา สายตาไม่ใช่สิ่งสำคัญ คนที่อยู่ด้านหน้าไม่อาจหันมามองคนที่อยู่ข้างหลังได้ คนข้างหลังต่างหากที่ต้องมองคนข้างหน้า หากเป็นหน้าที่ของคนข้างหน้าที่จะต้อง 'รู้สึก' ถึงคนข้างหลัง แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม
เขาหายใจเข้า ปล่อยศีรษะให้เงยขึ้นตามแรงหายใจ จากหางตาเขารู้สึกถึงทอแสงที่ยืนเฉียงกับเขาไปทางด้านหลัง และรู้สึกได้ว่าเธอเองก็กำลังอ่านเขาอยู่เช่นกัน เขาใช้กลางศีรษะดึงน้ำหนักตัวไปด้านหลังจนกระทั่งน้ำหนักของร่างกายส่วนบนอยู่เลยสะโพกไปทางด้านหลัง ส่งผลให้ขาทั้งคู่ต้องวิ่งถอยหลังเพื่อไปรับน้ำหนักของลำตัวให้ทัน ในเวลานี้ร่างกายของนักเต้นต้องสื่อสารกับตัวเอง แขน ขา และลำตัว ต้องทำงานเชื่อมโยงกันได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยากคือ คนทั้งคู่ต่างก็ต้องคุยกับตัวของตัวเองในจังหวะลมหายใจเดียวกันกับอีกคนด้วย
แล้วทั้งคู่ก็สูดลมหายใจเข้าพร้อมกันอีกครั้ง พร้อมกับยกขาขวาขึ้นทางด้านหลัง เมื่อหายใจเข้าจนสุดแล้ว เขาก็หายใจออกพร้อมกับลดขาลงอย่างรวดเร็ว 'ดรอป' ทุกอย่างลง นึกอุ่นใจที่ได้ยินเสียงลมหายใจออกรวดเร็วเช่นกันจากทางด้านหลัง แล้วลมหายใจเข้าก็ตามมาพร้อมกับร่างกายที่พุ่งสูงขึ้นด้านบนบนขาซ้ายที่เขย่งขึ้นไปยืนบนปลายเท้า และขาขวาถูกดึงขึ้นจนปลายเท้าอยู่ในระดับหัวเข่า
“suspend” เป็นครั้งแรกที่เอมิลพูดขึ้น จะค้างท่าให้มัน suspend อยู่ในอากาศตามที่เอมิลบอกได้นั้น ต้องควบคุมที่ลมหายใจเข้า ทั้งคู่เปิดมือออกพร้อมกับปล่อยสะโพกขวาให้ดึงน้ำหนักตัวออกไปทางขวา แล้วดึงลำตัวช่วงบนกลับทางด้านซ้ายเพื่อให้น้ำหนักสมดุล แล้วค่อยๆ ปล่อยให้ร่างกายหมุนไปยังอีกมุม และคราวนี้ทอแสงก็กลายเป็นคนที่อยู่ด้านหน้าแทน เธอเองก็รู้เท่าๆ กับร่มไม้นั่นแหละ ว่าคนข้างหลังจะต้องตาม แต่เธอไม่เคยเต้นกับเขามาก่อน เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะตามเธอทัน แต่กระนั้นถึงวินาทีนี้เธอต้องไว้ใจในตัวเขาแล้ว ว่าเขาจะต้องเป็นผู้ 'อ่าน' ลมหายใจของเธอบ้าง
เธอหายใจเข้าจนสุด เธอปล่อยลมหายใจออกพร้อมกับลดขาขวาลง มือขวาตวัดเข้าสู่กลางลำตัว ผลักให้สะโพกซ้ายกลับไปทางด้านหลัง ส่งผลให้ร่างกายหมุนเป็นวงกลมสวยงาม
..พร้อมกันกับร่มไม้
ตอนนี้ทั้งคู่หันหน้าไปด้านหน้า ไม่มีใครนำใครแล้ว ต้องรู้สึกถึงกันและกันเอง พวกเขากำลังจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของห้อง แล้วทำท่ากระโดดเป็นท่าสุดท้าย ร่มไม้กับทอแสงสูดลมหายใจลึก แล้วออกวิ่งเคียงคู่กันไป หันมามองหน้ากันแวบหนึ่ง สายตาทั้งสองคู่สื่อสารกันรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่สมองจะคิดการณ์ได้ทัน เพราะร่างกายของนักเต้นไว้กว่าความคิดเสมอ รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็กระโดดลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกันแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น แล้วกลิ้งตัวตามแรงโมเมนตัมก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“เยี่ยมครับ ดีมากเลย” เอมิลกล่าวขึ้นพร้อมกับปรบมือแล้วผายมือไปยังทุกๆ คน “ขอบคุณทุกคนมากๆ สำหรับวันนี้นะครับ วันนี้พอแค่นี้ แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ”
เสียงปรบมือเปลี่ยนไปเป็นการปรบมือเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเอมิล แล้วทุกคนก็ทยอยออกจากห้อง บ้างก็ใช้เวลาต่อในห้องอีกเล็กน้อยเพื่อยืดเหยียดร่างกาย รวมทั้งทอแสงด้วย วันนี้เธอไม่เข้าออฟฟิศ เพราะเธอกำลังรู้สึกดีกับตัวเอง และคิดว่าการไม่เข้าไปพบกับบรรยากาศที่ออฟฟิศน่าจะดีกับตัวเธอมากกว่า
“แล้วที่บ้านไม่ว่าเหรอถ้าเธอไม่ไป” ร่มไม้ยังจำเรื่องราวที่ทอแสงเล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อนได้
“วันนี้พี่สาวเราไม่เข้าน่ะ โชคดีเขาไปต่างประเทศช่วงที่มีเวิร์คชอปนี้พอดี เลยมาได้นี่ไง”
“แล้วถ้าเขารู้เขาจะว่าไหม” ทอแสงยักไหล่
“ก็.. ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ เขาก็หาเรื่องว่าเราเรื่องอื่นได้อยู่แล้วล่ะ เราก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดน่ะ เราไม่เข้าออฟฟิศใช่ว่าเราจะไม่ทำงาน เราเพียงแต่ไม่อยากนั่งทำงานในออฟฟิศน่ะ เราก็แค่เอางานออกมาทำข้างนอก”
“งั้นไปนั่งร้านกาแฟกันไหม ร้านเดิมน่ะ เราจะไปนั่งทำงานเหมือนกัน” ร่มไม้เอ่ยปากชวน ทั้งที่ปกติเขาไม่ค่อยจะชวนใครไปไหน แต่การได้เต้นด้วยเมื่อสักครู่ ทำให้เขารู้สึกว่าเขาสนิทกับทอแสงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
“อื้ม โอเค ไปสิ” น่าแปลก คนที่ปกติชอบอยู่คนเดียวอย่างเธอก็รีบตอบรับทันที ไม่นานทั้งคู่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำของร่มไม้
สั่งกาแฟกันเรียบร้อย ทอแสงก็สังเกตว่าร่มไม้มุ่งหน้าไปยังที่นั่งเดิมที่เธอมาเจอเขาเมื่อคราวก่อน ไม่ต้องถาม ร่มไม้ก็พูดขึ้นเอง
“แถวนี้เงียบดีน่ะ ปกติเราชอบนั่งแถวนี้”
ทอแสงยิ้มรับแทนคำตอบ แล้วเลื่อนเก้าอี้นั่ง
“เฮ้อ เหนื่อยเนอะ” ร่มไม้พูดพลางทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“มาก” คนตอบรับกลับยิ้มกว้าง “เหนื่อยคุ้มค่าดี”
“เฮ้ย เราชอบคำนี้” ร่มไม้บอก “ใช่เลยแหละ เหนื่อยนะ แต่มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เว่อร์ไปเปล่า”
“ไม่ล่ะ ถ้าเว่อร์ ก็เว่อร์ไปด้วยกันนี่แหละ”
ร่มไม้หัวเราะ พลางเปิดสมุดบันทึก ทอแสงจึงเดินไปสั่งกาแฟ เมื่อเดินกลับมาก็เห็นร่มไม้นั่งขมวดคิ้วหมุนปากกาจ้องสมุดบันทึกตัวเองอยู่
“ทำอะไรน่ะ” เธอถาม ร่มไม้ไม่ตอบ แต่หมุนสมุดมาให้เธอดู ทอแสงชะโงกหน้าไปดูก็เห็นปฏิทินรายเดือนที่เจ้าของสมุดวาดเองด้วยมือ ตารางงานเต็มพรืดไปด้วยลายมือของร่มไม้ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดลายมือของเด็กผู้ชายทั่วไป
“โอ้..”
“เรากำลังพยายามจัดตารางเวลาชีวิตเราอยู่น่ะ มันชักไม่ค่อยลงตัว เราทำงานหลายอย่าง ตอนนี้เวลามันออกจะชนๆ กันอยู่” เจ้าของสมุดยิ้ม วางปากกาที่มันน่าจะถูกหมุนจนเวียนหัวแล้วลง แล้วถามทอแสงบ้าง “เป็นไง คลาสเมื่อกี้นี้ชอบไหม”
“โห เหมือนได้ชีวิตคืนเลยล่ะ”
ร่มไม้เลิกคิ้ว ทำให้ทอแสงต้องรีบชิงออกตัวด้วยเสียงหัวเราะ
“โอเค เรายอมรับว่าคราวนี้เราเว่อร์”
“เปล่า กำลังจะบอกว่าเหมือนกัน” ร่มไม้ยิ้มกว้าง “เราไม่ได้เต้นแบบนี้มานานแล้ว มันทำให้เราจำได้ว่า ทำไมเราถึงรักการเต้น และวันแรกที่เราเริ่มเต้นนั้น เราเริ่มเต้นเพราะอะไร”
“เธอเต้นสไตล์นี้ได้สวยมากเลยนะ” ทอแสงชม
“เหรอ ขอบใจนะ แต่มันคงเพราะเราได้เรียนมาด้วยแหละ”
“ไม่ใช่ เราหมายถึงมัน ..ถึง.. น่ะ เต้นแล้วมันรู้สึกได้”
“จริงเหรอ ตอนเธอเต้นเราก็ชอบดูนะ นี่แอบดีใจนะเนี่ยที่เธอชอบเต้นสไตล์นี้เหมือนกัน ตั้งแต่เรากลับมาเมืองไทย เราก็มองหามาตลอดว่าจะมีใครที่ชอบเต้นสไตล์นี้บ้าง แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมี จนคิดว่าไม่น่าจะมีใครรู้จักมันด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอย่างน้อยๆ ก็มีเธออีกคน”
“ฮื่อ.. เราก็ดีใจเหมือนกัน เราเองก็คิดว่าเราชอบอยู่คนเดียวมาตลอดเหมือนกันแหละ” ทอแสงยิ้มรับ แล้วหยิบแฟ้มงานพร้อมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คออกมาจากกระเป๋า “แต่ไอ้นี่สิ เราไม่ชอบเลย”
“งานที่บ้านเหรอ” ร่มไม้ถาม
“ใช่”
“ทำมันให้ดีที่สุดนะ เราไม่อยากให้เธอมีปัญหากับที่บ้าน เพราะเราอยากเต้นกับเธองานนี้นะ เต้นกับเธอสนุกดี”
“เหรอ โอเค เราจะพยายาม ขอบใจมากนะ” ทอแสงยิ้มออก แล้วเริ่มต้นทำงาน
แล้วคนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปเงียบๆ เป็นความรู้สึกสบายๆ ดีแบบที่ทั้งคู่ต่างต้องการ บางทีคนเราก็ต้องแค่เพื่อนที่จะนั่งเงียบๆ ข้างๆ กันให้อุ่นใจเท่านั้นเอง
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนล่วงเข้าเวลาเย็น ทอแสงก็ขอตัวเพราะเจตน์จะไปรับที่บ้านเพื่อออกไปกินข้าว บ้านของทอแสงและหอพักของร่มไม้ไม่ไกลจากร้านกาแฟร้านนี้สักเท่าไหร่นัก แต่แยกกันไปคนละทาง
“ไปละนะ พรุ่งนี้เจอกัน” ทอแสงพูดขึ้นเมื่อเดินออกมาถึงหน้าร้าน
“จ้ะ พรุ่งนี้มาลุยกันต่อ” ร่มไม้ตอบพลางโบกมือ
ร่มไม้เดินแยกไปอีกทาง ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ค้างอยู่บนใบหน้าของเขา เขาเลือกที่จะเดินกลับหอแทนที่จะนั่งรถประจำทาง เย็นๆ แบบนี้รถประจำทางคนแน่น แถมรถก็ติด การเดินกลับก็ใช้เวลาพอๆ กัน และยังดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า
ห้องพักของเขาซึ่งแชร์กับเพื่อนอีกคนนั้น วันนี้เงียบเหงา เพราะเพื่อนเขากลับต่างจังหวัด เพื่อนเขาคนนี้ก็เป็นพวกคนตามฝันเหมือนกับเขานั่นแหละ แค่ฝันกันไปคนละอย่างเท่านั้นเอง แต่กระนั้น แม้ห้องจะเงียบ แต่ใจเขากลับไม่เหงา ตรงกันข้าม มันกลับลุกฟูขึ้นอย่างประหลาด มันฟูขึ้นด้วยแรงบันดาลใจที่ไหลเข้ามาเติมเต็มความว่างเปล่าที่มันเริ่มเข้ามายึดพื้นที่ในหัวใจเขาทีละน้อยๆ นับจากเสร็จสิ้นการแสดงคราวก่อน ความห่วงใยครอบครัวเริ่มจะเข้ามามีน้ำหนักมากกว่าความฝัน เขาเกือบคิดจะทิ้งมันอยู่รอมร่อ เขาเกือบจะคิดว่าความฝันของเขาไม่มีความสำคัญ
แต่แล้วเวิร์คชอปวันนี้ก็ช่วยทำให้เขาจำได้อีกครั้งว่า เพราะอะไรเขาจึงเลือกเดินบนทางสายนี้ ทำให้เขาจำได้ว่า ความรู้สึกร้างไร้ซึ่งแรงบันดาลใจใดๆ ที่เขาเคยเป็นมาก่อนที่เขาจะได้มาพบเจอกับการเต้นนั้น มันช่างกลวงโบ๋อย่างโหดร้ายอย่างไรบ้าง และในวันนี้การเต้นมันเข้ามาช่วยชีวิตเขาได้ทัน ก่อนที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำแก่ความว่างเปล่าเช่นนั้นอีกครั้ง
และภาพทุกอย่างก็สมบูรณ์มากขึ้นเมื่อเขาได้เต้นกับทอแสง เขาสัมผัสได้ถึงไฟฝันในตัวเธอที่มันล้นออกมาในยามที่เต้นคู่กับเขา แม้จะดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่นักก็ตาม แต่นักเต้นย่อมรู้ดีว่า ในยามเต้นด้วยกัน แม้สิ่งที่เก็บไว้ลึกสุดใจจนแม้แต่ตัวเองก็ทำลืมไปนั้น ก็ไม่อาจจะปกปิดจากคู่เต้นได้เลย
ร่มไม้เดินไปเปิดกระเป๋าที่ยังกองไว้อยู่หน้าประตู แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เขายิ้ม..
No comments:
Post a Comment