3.
ภายในอาคารมืดกว่าด้านนอก ทอแสงจึงเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นไปคาดไว้บนหัว ผมของเธอยังเกล้าไว้เป็นมวยสูงเผยให้เห็นต้นคอระหง เสื้อเชิ้ตบางสีขาวเผยให้เห็นช่วงลำตัวแบบบางในเสื้อรัดรูปสีน้ำเงินที่เธอใส่อยู่ด้านใน เข้าชุดกับกระเป๋าสีน้ำเงินใบใหญ่ที่เธอ “แบก” ติดตัวเป็นประจำ กางเกงยีนส์แนบเนื้อสีดำกับรองเท้าบูทสั้นทำให้รูปร่างเธอดูเพรียวสมส่วน
ทอแสงเดินลิ่วผ่านโต๊ะพนักงานเข้าสู่ห้องด้านใน เธอเคาะประตูเป็นเชิงบอกให้รับรู้ถึงการมาถึงมากกว่าจะขออนุญาต แล้วเปิดประตูเข้าไป
“อุ้ย คุณทอแสง สวัสดีค่ะ” พนักงานหนึ่งคนในห้องหันมามองพร้อมกล่าวทักทาย
เธอยิ้มตอบ แล้วเดินไปนั่งรอที่โซฟามุมห้อง ไม่นานพนักงานหญิงคนนั้นก็เดินออกจากห้องไป เจ้าของห้องจึงหันมาหาทอแสง
“กว่าจะโผล่มาได้ แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ มันใช่ไหมเนี่ย นี่มันออฟฟิศนะ ไม่ใช่ห้าง”
ทอแสงไม่ต่อปากต่อคำ รีบชิงเข้าเรื่อง
“พี่รุ้งจะให้ทำอะไรคะ เห็นว่าด่วน”
ทอรุ้งหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะส่งให้น้องสาว
“ทั้งแฟ้มนั่นแหละ ไปอ่านมาให้เข้าใจ ศึกษางานก่อน มีอะไรไม่เข้าใจให้ถาม พี่จะให้เธอเข้ามาคุมงานส่วนนั้น”
ทอแสงเอื้อมมือไปรับเอาแฟ้มนั้นมา ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามทอรุ้ง แล้วดึงขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ตามความเคยชิน
“ทอแสง” เสียงทอรุ้งเหนื่อยหน่าย “พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาขาขึ้นมาบนเก้าอี้ นี่ออฟฟิศนะ พนักงานข้างนอกเห็นแล้วมันไม่ดี “
ทอแสงก็ลืมตัวจริงๆ แหละ เธอไม่เคยทำตัวได้ 'เหมาะสม' เลยสักครั้งเวลาอยู่ที่นี่
“แล้วเย็นนี้มีกินข้าวกับลูกค้า คุณพ่ออยากให้เธอไปด้วย แต่พี่อยากให้เธอกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ทอรุ้งมองน้องสาวอย่างสำรวจ “แว่นบนหัวน่ะเอาออกด้วย มันไม่สุภาพ นี่ออฟฟิศนะ”
เป็นครั้งที่สามตั้งแต่เธอเข้ามาที่ทอรุ้งพูดย้ำว่านี่คือออฟฟิศ ทอแสงแอบถอนใจ คันปากอยากจะบอกพี่สาวว่าไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะเธอก็รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน เธอไม่อยากทำตัวมีปัญหามากกว่านี้ ที่ผ่านมาเธอก็เป็นปัญหาของครอบครัวมากพอแล้ว
“กี่โมงคะพี่รุ้ง”
“หกโมงครึ่ง พ่อเขาอยากจะแนะนำเราให้ลูกค้ารู้จักเธอ”
“อ้าว ทำไมต้องแนะนำด้วยล่ะพี่รุ้ง ลูกค้าใหม่เหรอคะ”
“ไม่ ก็ลูกค้าเดิมนี่แหละ แต่พ่อจะแนะนำให้รู้จักในฐานะหนึ่งในทีมผู้บริหาร ไม่ใช่เจ้าหญิงของตระกูล” ทอรุ้งจงใจกระแทกเสียง แต่ทอแสงทำเป็นไม่ได้ยินคำเหน็บแนมของพี่สาว
“งั้นเดี๋ยวหนูกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ 'เหมาะสม' ก่อนนะคะ” ทอแสงเน้นคำว่าเหมาะสมเป็นพิเศษ “แล้วเดี๋ยวตามไปที่ร้านแล้วกัน”
ทอรุ้งทำเป็นไม่สนใจการประชดประชันนั้นเช่นกัน เธอเพียงแต่บอกชื่อร้านให้น้องสาวตามไปเจอเมื่อถึงเวลานัดหมาย
“อย่าสายนะ”
ทอแสงก้าวออกจากห้องของทอรุ้งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สวนทางกับทอธนะน้องชายของเธอที่เพิ่งก้าวออกจากห้องประชุมพร้อมกับพนักงานในบริษัทอีกจำนวนหนึ่ง ทอธนะเป็นชายหนุ่มที่ถึงพร้อมด้วยหน้าตาและการศึกษา ด้วยวุฒิปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่เขาเพิ่งจบมาเมื่อไม่นานมานี้ วันนี้เขาอยู่ในชุดสูทสะอาดสะอ้านสมกับตำแหน่งผู้บริหาร และดูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทอแสง
แต่ทอแสงรู้สึกผิดที่ผิดทางเกินกว่าจะสามารถพูดคุยทักทายกับน้องชายของเธอได้ในขณะนั้น โดยเฉพาะต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ เธอจึงเพียงยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วรีบเดินลิ่วออกไป
เมื่อก้าวพ้นประตูบริษัทออกมาแล้ว เธอก็สูดลมหายใจลึก คำว่าเจ้าหญิงที่พี่สาวเธอแดกดันมาเมื่อสักครู่ยังดังอยู่ในหัว เธอลูบหน้าตัวเองเหมือนจะเรียกสติ นี่ไง มันมาถึงเวลาที่เธอจะพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวของเธอเห็นเสียทีว่าเธอทำได้ และไม่ได้เป็นคนเหลวไหลอย่างที่ทุกคนที่บ้านคิด ความเป็นผู้ใหญ่วัดกันที่ความอดทน เธอต้องอดทนและเป็นผู้ใหญ่ให้ได้
ทอแสงยังไม่อยากกลับเข้าบ้าน เธอยังมีเวลาทั้งบ่ายเพื่อ 'ศึกษางาน' ที่ได้รับมอบหมายมา และเธอต้องการสถานที่สักแห่งที่จะนั่งสงบจิตใจและ ..เริ่มต้น
เริ่มต้นชีวิตใหม่ กำหนดความฝันในชีวิตเสียใหม่
อย่าง 'ผู้ใหญ่' เสียที
เพราะเป็นตอนบ่ายของวันธรรมดา ภายในร้านจึงค่อนข้างโล่ง ร่มไม้ซุกตัวอยู่ในมุมโปรด ด้วยรสกาแฟที่ถูกปาก ราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เสียงเพลงที่เปิดดังพอดีๆ และมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตฟรีๆ ให้ใช้ ทำให้เขามาที่นี่ประจำและมักจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ครั้งละนานๆ
กาแฟหมดแก้วไปนานแล้วแต่ภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขนาดกะทัดรัดยังคงเล่นต่อไป จะกระทั่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตสะดุดนั่นแหละ จึงทำให้คลิปวิดีโอสะดุดไปด้วย ร่มไม้เงยหน้าขึ้นพักสายตาระหว่างที่รอสัญญาณ เขาจึงเห็นทอแสงกำลังยืนสั่งกาแฟ
..อ้าว ไหนบอกจะเข้าออฟฟิศ..
ร่มไม้คิด เขาควรจะทักทอแสงดีหรือไม่ เขาไม่ได้รังเกียจอะไรเธอหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สนิทกับเธอเท่าไหร่นัก และการนั่งกับคนไม่สนิท มันก็ยากนักที่จะทำตัวตามสบายได้ ทอแสงซื้อกาแฟเสร็จแล้วหันหน้ามาทางเขาพอดี
..โอเค ไม่ต้องคิดแล้ว.. ร่มไม้บอกตัวเอง แล้วโบกมือทักทายทอแสง
“หวัดดี มาได้ไงเนี่ย” ร่มไม้เอ่ยถาม
“หวัดดีจ้ะ ทำอะไรน่ะ” ทอแสงไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“นั่งฆ่าเวลา รอขึ้นรถตู้กลับบ้าน แล้วเธอไม่ต้องเข้าออฟฟิศเหรอ”
“เราไปเอางานจากออฟฟิศมานั่งทำน่ะ” ทอแสงเลื่อนแฟ้มส่งให้ร่มไม้ดู
“อ้อ นั่งด้วยกันสิ”
“อ่า.. อื้ม” ทอแสงจำต้องพยักหน้ารับ ทั้งที่รู้สึกว่าออกจะผิดแผน เธอชอบที่จะนั่งทำอะไรเงียบๆ คนเดียวมากกว่า แต่เมื่อร่มไม้ออกปากชวน จะปฏิเสธไม่นั่งด้วยก็กระไรอยู่
แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นไปด้วยดีโดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมายนัก เธอนั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆ ส่วนร่มไม้ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก็เงียบเช่นกัน ชั่วโมงกว่าแล้วที่ต่างคนต่างก็อยู่ในโลกส่วนตัว แค่เอาโลกของตัวเองมาวางใกล้ๆ กันเท่านั้น ก็ดีแฮะ.. ดีแบบแปลกๆ แต่ก็รู้สึกสบายๆ ดี ทอแสงนึกถึงที่ใครบอกคนเคยบอกว่า เพื่อน คือคนที่เราสามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องมีคำพูดอะไรสักคำ
“ยิ้มอะไร” ร่มไม้ถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นทอแสงนั่งอมยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม
“เปล่า ไม่มีอะไร นั่งคิดอะไรแล้วมันก็ขำๆ ขึ้นมาน่ะ”
“อะไรของเธอ” ร่มไม้ยิ้มแบบงงๆ “ดูนี่สิ” ร่มไม้หันหน้าจอของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตัวจิ๋วมาทางเธอ
“อยากให้เธอดูคลิปนี้ เป็นงานคอนเทมจากเนเธอร์แลนด์น่ะ” ร่มไม้หมายถึงคณะคอนเทมโพรารีแดนซ์ชื่อก้องโลกจากเนเธอร์แลนด์ที่เขาชื่นชอบ
เพียงเห็นภาพปะหน้าคลิป ทอแสงก็รู้เช่นกันว่าร่มไม้หมายถึงคณะไหน เธอหยิบหูฟังที่ร่มไม้ส่งมาให้ขึ้นมาใส่หู สายตาจับจ้องไปที่นักเต้นชายหญิงบนเวที คอสตูมแนบเนื้อเผยให้เห็นเส้นสายลายกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นเรียวยาว เท้าเปล่าเปลือยรับน้ำหนักของท่วงท่าอย่างชำนาญ ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของโมเมนตัมที่รับส่งซึ่งกันและกัน ผสานกับเทคนิคบัลเล่ต์ที่ฝึกปรือมาอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้การเต้นของทั้งคู่สวยงามและลื่นไหลราวบทสนทนาที่ไร้คำพูด
“เป็นไง ชอบไหม” ร่มไม้ถามเมื่อทอแสงเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ
“ชอบมาก เราเคยได้เต้นแบบนี้ด้วยนะ แต่เสียดาย ไม่ค่อยได้เห็นในเมืองไทยสักเท่าไหร่ ไม่มีใครสอนด้วย” ทอแสงตอบ
“เธอเคยเต้นด้วยเหรอ ที่ไหน ยังไง เราเคยได้เรียนเต้นแบบนี้มาจากฮ่องกงน่ะ แต่จริงอย่างที่เธอว่าแหละ เมืองไทยมันไม่มี”
“โห เธอเรียนจากที่นั่นเลยเหรอ ดีจัง เราเองเคยแค่เข้าเวิร์คชอป ตอนนั้นคณะจากฝรั่งเศสมาเปิดการแสดงที่เมืองไทยน่ะงานเชื่อมสัมพันธ์อะไรสักอย่างนี่แหละ ตอนนั้นเขาจัดเวิร์คชอปด้วยน่ะ เราเลยสมัครไป หลายปีมาแล้วล่ะ”
“หืม.. งานเชื่อมสัมพันธ์ไทยฝรั่งเศสจัดโดยสมาคมฝรั่งเศสรึเปล่า”
“อืม ใช่ๆ งานนั้นแหละ นักเต้นนำชื่อเอมิล ว็องแดล เขานั่นแหละมาเวิร์คชอปให้ แล้วก็เพราะเขานั่นแหละ เราถึงชอบการเต้นสไตล์นี้มากที่สุด”
“ฮ้า .. เธอรู้มั้ย เพราะงานนั้นแหละ เราถึงมาเต้น” ร่มไม้เล่าให้เพื่อนเหมือนจะใหม่ของเขาฟังว่าเขาก้าวมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง การได้รู้ว่าต่างมีจุดกำเนิดของแรงบันดาลใจร่วมกันมันช่างดีจริงๆ
“เราอยากไปต่อนะ” ร่มไม้บอก
“ไปไหน”
“คณะนี้น่ะ” ร่มไม้ชี้ไปที่จอคอมพิวเตอร์
“อ๋อ อื้ม.. เราก็อยากไป” ทอแสงเออออ
“ไม่ เราหมายถึงเราจะไปจริงๆ” ร่มไม้เน้นคำว่า 'จะไป'
“หืม.. ?“
“อื้ม”
ทอแสงจนด้วยคำพูดเมื่อร่มไม้ทำราวกับกำลังบอกว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด
“หรือไม่ก็หาคณะที่เล็กกว่านี้ก็ได้ มันต้องมีสักที่ในยุโรปนั่นแหละที่เราพอจะไปได้”
ทอแสงพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้ดวงหน้ายิ้มๆ ของเธอ เธอไม่อยากทำลายความฝันของใคร แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ร่มไม้ต้องการจะไปให้ถึงนั้น แทบไม่มีทางเป็นไปได้
แต่ร่มไม้ไม่โง่ .. เขาเห็น
“ไม่เชื่อเหรอ”
“ไม่เชื่อว่าอะไร”
“ไม่เชื่อว่าเราจะไปได้น่ะ”
“สำหรับเธอเราไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรา เรารู้ว่าเราคงไปไม่ถึงแน่” เธอก็เลยหยุดฝัน แล้วกลับมาสู่โลกความเป็นจริงนี่ไง
“เราเองก็ยังไม่รู้หรอก เราก็ฝันไปก่อนน่ะ มันก็ดีกว่าอยู่ไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร”
“ก็จริงนะ” ทอแสงตอบแค่นั้น แล้วต่างคนต่างก็กลับเข้าไปในโลกส่วนตัวต่อไป ทอแสงนั้นยังคงสนทนากับตัวเองไปอย่างเงียบๆ แม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่เอกสารที่ยังอ่านไม่จบนั้นก็ตาม ยิ่งพยายามจะมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้า ภาพของคลิปวิดีโอที่ได้ดูมาเมื่อสักครู่มันก็ยิ่งกลับเข้ามารบกวนจิตใจ
..บ้าน่า มันจบไปแล้ว ทอแสงบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่มไม้อาจจะฝันต่อไป แต่เธอตื่นแล้ว เธอโตแล้ว เธอมีงานที่ต้องรับผิดชอบ อนาคตที่มั่นคง กับคนคนหนึ่งที่เขาและเธอต่างวาดหวังไว้ว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน ..เจตน์
ทอแสงกดโทรศัพท์หาเจตน์ ถ้าเขามาทานข้าวด้วยกันไปคืนนี้ก็คงจะดี เขาเองก็ไม่ต่างอะไรจากสมาชิกในครอบครัวของเธอคนหนึ่งเช่นกัน
“ไม่ว่างอีกแล้วเหรอคะ ไม่ได้เจอกันตั้งสองอาทิตย์แล้วนะ” เสียงทอแสงออกจะผิดหวัง
“พี่ต้องทำงานนี่ครับ ตอนนี้เราก็เริ่มทำงานเหมือนกันนี่ น่าจะเข้าใจพี่นะ” เจตน์พยายามใช้น้ำเสียงปลอบใจมากลบความรำคาญ
“พี่เจตน์ ทอแสงไม่ได้เพิ่งเริ่มทำงานนะคะ แค่งานเราต่าง..” แต่เจตน์ไม่ปล่อยให้ทอแสงพูดจนจบ
“คือพี่หมายถึงงานที่มันเป็นงานจริงๆ น่ะ”
ทอแสงก็รู้แหละว่าเจตน์หมายถึงอะไร แต่กระนั้นก็อดขุ่นใจไม่ได้ งานที่เธอรัก มันไม่ได้มีความหมายในสายตาคนที่เธอรักเลย เธอลอบถอนใจยาว
“ทอแสงเข้าใจค่ะ เจอกันตอนที่เราทั้งคู่ว่างจากงานแล้วกันนะคะพี่เจตน์”
เจตน์ไม่แน่ใจว่าในเสียงเรียบๆ ของทอแสงนั้นมีรอยประชดประชันอยู่หรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจเสียดีกว่า
“โอเคจ้ะ พี่ไปประชุมก่อนนะ”
ทอแสงกดวางสายแล้วก็ได้แต่นั่งเงียบ เดี๋ยวนี้คุยกับเจตน์แล้วมันไม่สบายใจอย่างที่เคยเป็น ตรงกันข้าม เจตน์กลับทำให้ทอแสงรู้สึกแย่อยู่บ่อยครั้งอย่างเช่นในครั้งนี้เป็นต้น แต่ในเมื่อเธอรักเขาและเลือกเขาแล้ว เธอก็ควรจะต้องปรับตัวและปรับทัศนคติให้ไปด้วยกันกับเขาให้ได้ เพราะสิ่งที่คนที่เธอรักให้ความสำคัญ มันก็ควรจะสำคัญต่อเธอเช่นกัน
ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ร่มไม้ละสายตาจากหน้าจอระหว่างนั่งรอสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่สะดุดลงอีกครั้ง สายตาเขาเหม่อมองไปยังทอแสงที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ ระหว่างที่ปล่อยให้คลิปวิดีโอโหลดจนเสร็จ
“ทอแสงทำงานอะไรเหรอ” ร่มไม้ถามขึ้น
“เอ่อ.. หลักๆ แล้วเราทำงานกับที่บ้านน่ะ แต่ก็เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นานหรอก นอกนั้นก็มีสอนอยู่ที่บ้านสวนนี่แหละ”
“อ้าว แล้วก่อนหน้านี้เธอทำอะไรล่ะ เต้นกลางคืนเหรอ” ร่มไม้อยากรู้ เพราะดูแล้วบุคลิกของทอแสงไม่น่าจะใช่คนที่ทำงานแบบนั้นได้ แล้วก็จริงอย่างที่ร่มไม้คาดการณ์
“เปล่า เราทำไม่ได้น่ะ เราทำตัวไม่ถูกในที่แบบนั้น คือถ้าให้เราไปเต้นเป็นงานๆ ไปมันก็พอจะได้อยู่ แต่ถ้าให้เราทำงานที่นั่นทุกวัน เราทำไม่ได้น่ะ ถึงเงินมันจะดีก็เถอะ จะว่าเราไม่เป็นมืออาชีพพอก็คงได้”
“ไม่เลย เราเข้าใจ เราควรจะเลือกได้นี่ว่าเราอยากให้ชีวิตเราเป็นแบบไหน” ก็เขาเองก็เป็นอีกคนหนึ่งเช่นกันที่ไม่ขอเลือกจะใช้ชีวิตแบบนั้น “แล้วก่อนหน้านี้เธอทำอะไรล่ะ”
ทอแสงเองก็รู้ตัวว่า เธอแทบจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เธอมีงานสอนเต้นอยู่ที่สตูดิโอเล็กๆ แถวบ้าน และสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษา แต่เวลาหลักส่วนใหญ่ของเธอก็ทุ่มเทให้กับการเรียน ซ้อม แสดง และสอนอยู่ที่บ้านสวนสตูดิโอนั่นเอง ซึ่งรายได้ที่ได้มานั้นก็เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับ 'เงินเดือน' จากระบบกงสีที่ทางบ้านของเธอโอนเข้าบัญชีมาให้ทุกเดือน แม้ว่าเธอจะปฏิเสธไม่ยอมทำงานในบริษัทก็ตาม แต่ก็เพราะเงินก้อนนั้นนั่นเอง ที่รั้งเธอไว้ด้วยความรู้สึกผิด จนต้องยอมกลับไปทำงานกับที่บ้าน
“ถ้าเธอไม่เอาเงิน ก็ไม่ต้องมาเป็นลูกบ้านนี้ เธอมันลูกอกตัญญู” พ่อของเธอตวาดก่อนจะปิดประตูห้องดังปัง
“โง่ ไม่สำนึกบ้างเลยว่าตัวเองโชคดีขนาดไหนแล้ว โง่แล้วยังอวดเก่ง ฉันไม่อยากจะคิดว่าเธอเป็นลูกฉัน” แม่ของเธอสำทับไล่หลัง ก่อนจะเดินตามพ่อออกไป พี่สาวและน้องชายของเธอได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ มีเพียงแค่น้องสาวคนสุดท้องเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ
“พี่..” ทอฝันเรียกเธอ และคำตอบรับจากเธอในคืนนั้นก็มีเพียงแค่รอยยิ้มปลอมๆ ที่เธอส่งกลับไปเท่านั้นเอง แล้วมันก็เป็นรอยยิ้มที่เธอใช้ป้ายปากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ตลอดเวลาร่มไม้นั่งฟังเงียบๆ โจทย์ชีวิตของเขาและทอแสงมันช่างต่างกันเสียจริง แต่ความอัดอั้นที่แสดงออกในแววตาของทอแสงนั้น เขาก็พอจะมองเห็น ทอแสงดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว
“เราเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังทำไมเนี่ย โทษที ไปไกลเลย”
“ไม่เป็นไรเลย ไม่เป็นไร เราฟังได้” ร่มไม้ยิ้มให้ “มิน่าล่ะ หลังๆ เธอถึงไม่ค่อยมาเข้าคลาส แล้วตอนนี้เธอกับที่บ้านเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ เข้าใจกันรึยัง” ร่มไม้อ่อนไหวกับเรื่องครอบครัวเสมอ
“ก็โอเคแล้วจ้ะ”
“ดีแล้วล่ะ แล้วกับตัวเองล่ะ โอเคมั้ย”
“ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นะ เรากำลังพยายามโยนความเชื่อเก่าๆ ของเราทิ้งไปน่ะ”
“เชื่อว่า?”
“เราเคยเชื่อว่าชีวิตคือการทำงาน แล้วเราก็ควรจะต้องทำงานที่ทำให้เรามีความสุขกับมัน ชีวิตเราถึงจะมีความสุขน่ะ แต่ตอนนี้เรายอมรับแล้วล่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้”
“ทำไมมองโลกแง่ร้ายจัง”
“ก็ไม่นะ แค่พยายามอยู่กับความเป็นจริง บางอย่างเราคงทำมันได้เป็นอดิเรกเท่านั้นแหละ”
“เคยคิดอยากไปเมืองนอกบ้างไหม” ร่มไม้เหมือนจะเปลี่ยนเรื่องเสียทันควัน
“หมายถึงไปเต้นเหรอ คงไม่ล่ะ เรารู้ว่าเราไม่เก่งขนาดนั้น”
“แล้วเธอรักมันรึเปล่าล่ะ”
“รัก”
“ถ้าเรารู้ว่าเรารักอะไรแล้ว เราจะไม่สู้เพื่อมันสักหน่อยเหรอ”
“ไม่แล้วล่ะ ถ้าเธอถามเราสักห้าปีก่อนก็ไม่แน่นะ แต่มาถึงตอนนี้แล้วเราไม่กล้าคิด ถ้าความฝันมันยากจะเกินจะทำให้มันเป็นจริงได้ บางที เราเปลี่ยนความฝันตัวเองอาจจะง่ายเสียกว่า”
แต่ไม่ใช่สำหรับร่มไม้ นับตั้งแต่กลับจากฮ่องกงมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ร่มไม้ก็รู้สึกตลอดว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขา หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในเวลานี้ เขายังอยากไปต่อ เขายังไปไม่ถึงจุดที่เขาใฝ่ฝัน นี่จึงยังไม่ใช่เวลาเขาจะกลับมา 'อยู่' บ้าน
แต่กับที่บ้าน เขาเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ
“เรียนจบแล้วเราตั้งใจจะทำอะไรต่อ จะเรียนต่อไหม ถ้าอยากเรียนต่อ พี่ก็จะส่งต่อ” ร่มไม้คุยกับน้องชายจริงจัง อีกไม่นานน้องเขาก็จะจบปริญญาตรีแล้ว
“ผมจะเข้าไปหางานทำที่กรุงเทพฯ”
“อ้าวแล้วร้านกาแฟที่โมกข์อยากเปิดล่ะ ถ้าจะไปเปิดที่กรุงเทพฯ ค่าเช่าที่มันก็แพงนะ แล้วไหนจะต้องเช่าหออยู่ ค่ากินค่าเดินทางอีก ก็หลายตังค์อยู่นะ อยู่บ้านเราจะได้ดูแลพ่อกับแม่ด้วยอีกแรง”
“แล้วพี่ไม้ล่ะ ทำไมไม่กลับบ้านสักที” ร่มโมกข์ 'เกือบ' ขึ้นเสียง
อีกครั้งที่ร่มไม้รู้สึกเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว ครอบครัวคือสิ่งที่เขารักที่สุดในชีวิต แต่ความฝันของเขาเล่า เขาก็ให้ความสำคัญกับมันไม่แพ้กัน ร่มไม้มองหน้าน้องชาย
“อยู่ไกลบ้านมันไม่สนุกหรอกนะโมกข์ มันแย่ยิ่งกว่าเวลาที่ที่โมกข์โทร.มาเล่าเรื่องที่บ้านให้พี่ฟัง แต่ตัวพี่กลับทำอะไรไม่ได้”
ดูเหมือนว่าร่มโมกข์จะเริ่มรู้สึกตัวว่าชักจะใช้อารมณ์มากจนเกินไปแล้ว จะว่าไปเขาก็เข้าใจว่าร่มไม้ต้องทำงานหาเงิน เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของครอบครัวก็มาจากพี่ชายเขานี่แหละ รวมทั้งค่าเล่าเรียนของเขาด้วย
“ผมขอโทษพี่ แต่บางครั้งเวลาที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน ผมก็คิดถึงพี่เป็นคนแรก ผมรู้ว่าถ้าพี่ไม้อยู่ พี่ต้องจัดการได้”
“โมกข์” เสียงเรียกน้องชายจริงจัง “ฟังพี่นะ พี่ไม่ได้เก่งไปกว่าเรา หรือว่าพ่อกับแม่เขาฟังพี่มากกว่าเราหรอก แต่มันเป็นเพราะถ้าพี่ไม่ทำ มันก็ไม่มีใครทำ พี่ก็เลยต้องเชื่อว่าพี่จัดการได้ แล้วพี่ก็ลงมือทำ พี่อยากให้โมกข์คิดแบบนี้ให้ได้เหมือนกัน”
“ครับ”
“เราต่างก็มีหน้าที่ของเราที่ต้องทำนะ” ร่มไม้สูดลมหายใจก่อนพูดต่อ “แล้วเราก็ต่างมีความฝันของเราที่จะต้องตาม แล้วเราก็ควรจะต้องทำให้ได้ทั้งสองอย่างด้วย” ร่มไม้ตั้งใจบอกตัวเอง เขาแค่พูดมันออกมาดังๆ เท่านั้นเอง
วิดีโอตรงหน้าโหลดเสร็จแล้ว ร่มไม้ดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง วิดีโอมากมายที่เขาชอบเปิดดู และก็ดูซ้ำไปซ้ำมานั้น ล้วนเป็นบ่อเกิดของแรงบันดาลใจที่ส่งให้เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ และเขาก็ตั้งใจจะไปเท่าที่กำลังเขาสู้ไหว ตราบเท่าที่เวลาของเขายังพอมี เท่าที่ความฝันของเขายังไม่เบียดเบียนหน้าที่ที่ชีวิตเขามีอยู่จนเกินไป ..มันต้องมีสักทางสิ.. อีกครั้งที่เขากล่าวย้ำกับตัวเอง
..มาถึงขนาดนี้แล้ว ถอยกลับได้ยังไง.. นักเต้นในคลิปวิดีโอพาความฝันของเขาโลดแล่นไปอีกครั้ง เขาจะไปอยู่ตรงนั้น ไปเต้นอย่างนั้น ก็มันช่างแสนยากกว่าจะรู้ว่าชีวิตนี้เราต้องการอะไร แต่ถ้าเรารู้แล้วกลับไม่พยายามไขว่คว้ามันจนสุดกำลัง มันก็ออกจะ ..น่าเสียดาย
เขาขยับปากจะบอกทอแสง แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ
เพราะรู้สึกว่า ..ยังไม่ถึงเวลา
No comments:
Post a Comment