Sunday, 17 June 2012

4

4.


ทุกๆ คน” ภูมิประกาศเสียงดัง “ใครจะมาเวิร์คชอปแล้วยังไม่ได้ลงชื่อ ให้รีบมาลงชื่อเลยนะ”

ทอแสงกำลังจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะโดดงานที่บริษัทออกมา และต้องรีบกลับเข้าไปก่อนบ่ายชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปถามนุ่น

เวิร์คชอปอะไร”

เธอไม่ได้อ่านบอร์ดเลยเหรอ” นุ่นทำหน้าอยากจะทุบเพื่อน ทอแสงเองก็หัวเราะ ไม่ได้สนใจเวิร์คชอปที่ว่านี่เท่าไหร่นัก เพราะจะอย่างไรเธอก็คงเข้าร่วมไม่ได้อยู่ดี จนกระทั่งเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและได้คุยกับร่มไม้นั่นแหละ

มาไหม” เขาถาม

คงไม่หรอก เธอล่ะ”

ทำไมเธอไม่สนล่ะ เรามาแน่ๆ”

จริงๆ เรายังไม่ได้อ่านรายละเอียดเลยล่ะ แต่คิดว่าคงไม่ว่างหรอก”

ร่มไม้ไม่พูดอะไร แต่ลากทอแสงไปที่บอร์ด และชี้ไปที่ป้ายประกาศ ทอแสงมองตาม “คอนเทมโพรารีแดนซ์เวิร์คชอปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มกับ 'เอมิล ว็องแดล' อดีตนักเต้นจากฝรั่งเศส” ชื่อนี้ทำให้ทอแสงตาโต เอมิลผันตัวเองขึ้นไปเป็นนักออกแบบท่าเต้นอิสระ และในปีนี้ เขาก็มีโปรเจ็คต์ร่วมกับบ้านสวนสตูดิโอ การแสดงจะมีขึ้นในเดือนหน้า และผู้ที่เข้าร่วมเวิร์คชอปเท่านั้นที่จะมีสิทธิออดิชั่นเพื่อเข้าร่วมการแสดงในครั้งนี้

เธอชอบเอมิลไม่ใช่เหรอ”

ทอแสงพยักหน้า การแสดงที่เธอได้ดูเมื่อหลายปีก่อนยังติดตา คำที่เอมิลเคยบอกเมื่อเวิร์คชอปคราวก่อนดังขึ้นในใจทอแสงอีกครั้ง

You can be one of the best in the world. Keep dancing and enjoy your artistic life.

และทั้งๆ ที่บอกกับตัวเองไปแล้วอย่างหนักแน่นและเต็มใจว่าถึงเวลาพอสักที แต่กว่าหนึ่งเดือนที่เธอหันหลังให้มันกลับทำให้รู้สึกชีวิตกลวงโบ๋ว่างเปล่า ยิ่งชื่อของเอมิล ว็องแดลผ่านตาเข้ามาในขณะนี้ มันยิ่งย้ำชัดเจนถึงสิ่งที่ความรู้สึกของเธอว่าชีวิตของเธอตอนนี้ สิ่งสำคัญบางอย่างได้ขาดหายไป สิ่งที่ทำให้อยากที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ..แรงบันดาลใจ

ปฏิทินเวิร์คชอปติดอยู่ข้างๆ เธอหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กติดตัวของตัวเองออกมา แล้วก็ดีใจแทบกระโดดเมื่อเปิดดูตารางงานของตัวเอง ทอรุ้ง 'เจ้านาย' สายตรงของเธอเดินสายพบลูกค้าต่างประเทศช่วงเดียวกับการเวิร์คชอปนี่พอดี แม้จะเชื่อได้ว่าทอรุ้งคงต้องสั่งงานให้เธอทำอย่างแน่นอน แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะต้องตอกบัตรเพื่อเข้าไปนั่ง 'ทำ' ในออฟฟิศนี่นา

ดีนะเนี่ย เธอลากเรามาดูก่อนเนี่ย เป็นช่วงที่เราโดดงานได้พอดีเลย”

งั้นเจอกันนะ”

อืม”


สมาชิกที่จะเข้าร่วมเวิร์คชอปมีเพียงครึ่งของสมาชิกทั้งหมดของคอมพานี เวลาพักเพียงสี่สิบห้านาทีไม่เพียงพอสำหรับอาหารกลางวันเต็มรูปแบบ กินมากไปย่อยไม่ทันก็อาจมีผลทำให้รู้สึกหนักและง่วง ส่วนเรื่องกลัวจะหิวนั้นยิ่งไม่ต้องคิด เพราะเต้นถึงเวลาซ้อมเต้นหนักๆ เข้า ใครจะไปคิดถึงความหิว ความเหนื่อยจนหอบอาจทำให้ต้องการแค่น้ำเย็นๆ สักขวด ดื่มน้ำหมดขวดก็แน่นจนอิ่ม มารู้ตัวอีกทีอาจหน้ามืดเป็นลมไปแล้วเพราะหิวข้าวไม่รู้ตัว เวลามีงานซ้อมหนักๆ ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องคุมอาหารหรอก นักเต้นแต่ละคนจะแห้งลงทันตาเห็น

กินข้าวกันให้พอนะคะทุกคน” ทีน่าต้องบอกนักเต้นอย่างนี้เสมอ แต่เหล่านักเต้นก็ยังคงพกมาเพียงของว่างรองท้อง บ้างก็ผลไม้ บ้างก็แครกเกอร์ บ้างก็เพียงกาแฟหนึ่งแก้ว ทีน่าจึงจัดเตรียมซุปและซีเรียลสำเร็จกึ่งรูปประเภทต่างๆ เอาไว้ให้เสมอที่มุมกาแฟในห้องพัก พอจะเป็นอาหารเบาๆ สำหรับเหล่าสมาชิกไปได้สักมื้อ

ที่บ้านสวนสตูิโอมีห้องพักง่ายๆ บนชั้นสองของเหนือบริเวณที่รับแขกอันเป็นออฟฟิศของสตูดิโอด้วย มีหน้าต่างเปิดโล่ง เพื่อรับลมเย็นอันเป็นผลมาจากต้นไม้เขียวใหญ่โดยรอบ วันดีคืนดีก็มีผีเสื้อบินเข้ามาทักทายให้สมชื่อบ้านสวนสตูดิโอ แต่ทีน่าก็ติดเครื่องปรับอากาศเอาไว้เผื่อสำหรับวันที่อากาศร้อนจัดเช่นกัน โทรทัศน์และเครื่องเล่นดีวีดีมีไว้พร้อมสำหรับดูการแสดงของคอมพานีย้อนหลัง หรือดูการแสดงจากที่อื่นๆ โต๊ะยาวกลางห้องมีไว้สำหรับประชุมเท่านั้น ในเวลาพักอย่างนี้ทุกคนต่างเลือกที่จะนั่งหรือนอนอยู่กับพื้นมากกว่า นักเต้นมักจะมารวมตัวกันในนี้ นั่งพัก พูดคุย เพื่อรอซ้อม หรือรอสอนสำหรับคนที่มีสอนชั้นเรียนเต้นในตอนเย็นเพราะทีน่ามีทั้งโรงเรียนเต้นและคอมพานีควบคู่กันไป ครูผู้สอนทั้งหมดก็มาจากสมาชิกของคอมพานีนั่นเอง

และเพราะหน้าต่างที่เปิดโล่งทำให้คนในห้องรับรู้ได้ถึงความเป็นไปข้างล่าง เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่ดังใกล้เข้ามาตามทางเดินสู่คือเสียงของทีน่า และเสียงของชาวต่างชาติอีกคน ไม่ต้องเดาให้ยาก ทุกคนรู้ทันที เอมิลมาถึงแล้วทีน่าเดินนำทางเอมิลเข้าไปด้านในซึ่งเป็นห้องสตูดิโอ ห้องอาบน้ำ และห้องแต่งตัว นักเต้นบางคนที่จัดการกับ 'ของว่าง' มื้อกลางวันของตนเสร็จแล้วก็พากันเดินกลับไปยังห้องสตูดิโอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเวิร์คชอปที่กำลังจะมีขึ้น

ไม่นานทุกคนก็มาพร้อมหน้ากันในสตูดิโออีกครั้ง แม้จำนวนคนจะไม่มากเท่าช่วงเช้า แต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาเท่าไหร่นัก เพราะมีคนภายนอกที่ไม่ได้เป็นสมาชิกมาเข้าร่วมเวิร์คชอปด้วย เพียงแต่ต้องจ่ายเงินในขณะที่สมาชิกของคอมพานีไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย เพราะทีน่านำเงินที่ได้จากการทำโรงเรียนเต้นมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ทีน่าหวังจะได้เห็นคณะบัลเล่ต์ดีๆ ในเมืองไทย เธอจึงพยายามทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านมาเกือบยี่สิบปี ความหวังของเธอก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากแล้ว เพียงแค่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะเธอยังไม่สามารถจะจ่ายเงินเดือนให้เหล่าสมาชิกได้ คงทำได้เพียงจัดคอมพานีคลาสและเวิร์คชอปให้แก่นักเต้นของเธอแทนค่าจ้างเงินเดือนเท่านั้น

การเชิญเอมิลมาในคราวนี้ใช้เงินไม่ใช่น้อย แต่เพราะคอนเนคชั่นที่ทีน่ามีอยู่กับสมาคมฝรั่งเศสจึงได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่ง เวิร์คชอปและการแสดงที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากนี้จึงเกิดขึ้นได้

บ่ายโมงตรง เอมิล ว็องแดล ก็เดินเข้ามาในสตูดิโอ เขาเป็นชาวฝรั่งเศสผมสีเข้ม รูปร่างสูง วันนี้เขาใส่กางเกงขายาวสีดำทรงตรงธรรมดา และเสื้อกล้ามสีเทาเผยให้เห็นท่อนแขน และบางส่วนของอกและหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อมัดเรียวอย่างนักเต้นอาชีพ

ทีน่าเดินตามเอมิลเข้ามา แล้วกล่าวแนะนำเอมิลให้ทุกคนรู้จักเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เขาได้เข้าใจด้วย

นี่คือคุณเอมิลนะคะ”

ซาวัดเดข่าบบบ” เอมิลทักทายทุกคนเป็นภาษาไทยแปร่งจัด แสดงว่าเพิ่งจะเรียนคำคำนี้มาได้ไม่นาน เรียกรอยยิ้มกว้างจากทุกคน

สวัสดีค่ะ/ครับ”

ทุกคนคงทราบตารางเวลาการเวิร์คชอปครั้งนี้อยู่แล้วนะคะ จากวันนี้ถึงวันศุกร์เราจะมีเวิร์คชอปกันทุกวัน ตั้งแต่บ่ายโมงถึงสี่โมง การเวิร์คชอปนี้ถือเป็นการออดิชั่นไปในตัวเลยนะคะ ส่วนคุณเอมิลจะเลือกกี่คนอันนี้ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือคนที่ไม่เข้าร่วมเวิร์คชอปก็จะไม่ได้แสดงนะคะ อันนี้ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้ว เอาล่ะค่ะ ขอให้สนุกค่ะ”

ทีน่าพูดจบก็กล่าวขอตัวไปนั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก เอมิลยิ้มให้ทุกคน แล้วเริ่มกล่าวคำแนะนำคลาส ภาษาอังกฤษสำเนียงฝรั่งเศสออกจะแปร่งหูสำหรับหลายๆ คน แต่สำหรับร่มไม้แล้ว เขาคุ้นชินกับสำเนียงอังกฤษแบบนี้ เพราะอาจารย์หลายท่านในมหาวิทยาลัยก็สอนเขาด้วยสำเนียงแบบนี้

เอมิลกล่าวถึงการแต่งกายในคลาสคอนเทมโพรารีแดนซ์เขาขอให้ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อและกางเกงที่ไม่ฟิตจนเกินไป ไม่ต้องแนบเนื้อ ขอแค่อย่าหลวมโพรกเพรกจนเต้นไม่ได้เท่านั้นพอ ตอนนี้หลายๆ คนยังอยูในชุดบัลเล่ต์ ถุงน่อง ไม่ก็กางเกงขาสั้นแนบเนื้อ มีเพียงร่มไม้ ทอแสง ภูมิ และคนญี่ปุ่นที่มาเข้าร่วมเวิร์คชอปด้วยเท่านั้นที่แต่งกาย 'ถูกระเบียบ'

ผมต้องการให้ร่างกายของพวกเราได้รีแล็กซ์ การเต้นบัลเล่ต์มันต้องควบคุมร่างกายมาก มันก็จำเป็นสำหรับการฝึกเทคนิค แต่สำหรับการเต้นคอนเทมโพรารีแดนซ์แล้วการรีแล็กซ์ร่างกายให้ได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน” เอมิลอธิบาย

และผมอยากให้พวกเราใส่กางเกงขายาว จะเท้าเปล่าหรือใส่ถุงเท้าก็ได้ เพราะมันมีบางท่าที่ต้องสไลด์ไปกับพื้นและอาจทำให้ผิวไหม้ได้ อย่างเช่น..”

ว่าแล้วเอมิลก็วิ่งอย่างเร็วไปจนเกือบถึงอีกฝั่งของห้อง แล้วปล่อยให้เท้าสไลด์ไปกับพื้นด้วยท่าทางเหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น หลังจากนั้นก็ทิ้งตัวลงกับพื้น แล้วสไลด์ด้วยท่อนขากลับมาจนเกือบถึงกลางห้อง

“.. เป็นต้น”

มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเล็กน้อย เอมิลพูดต่อ

นั่นคือส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราจะได้ฝึกกัน ผมบอกไว้ก่อนเลยว่ามันสนุกมาก” เอมิลมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะพูดต่อ “วันนี้ใครมีถุงเท้าให้ไปใส่ถุงเท้า ใครมีเสื้อแขนยาว หรือเสื้อยืด ก็ให้หยิบมาใส่เสีย ถ้ามีกางเกงขายาวหรืออย่างน้อยก็ถุงน่องก็จะดีมาก แต่ถ้าไม่มี็ไม่เป็นไรครับ”

แต่กระเป๋าใบโตของนักเต้นมักจะมีเกือบทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่มีก็หาหยิบยืมได้ไม่ยาก ในห้องพักก็พอจะมีเสื้อผ้าของเหล่าสมาชิกเก็บไว้อยู่เหมือนกัน บ้างสะอาด บ้างก็ยังไม่ซัก แต่ก็ไม่เป็นไร พอจะแก้ขัดกันไปได้ ไม่นานทุกคนก็กลับเข้ามารวมตัวกันในสตูดิโออีกครั้ง แล้วคลาสก็เริ่มขึ้นได้เสียที


การวอร์มเริ่มต้นขึ้นที่กลางห้อง ไม่ใช่ที่บาร์แบบการเต้นบัลเล่ต์

ไม่ต้องเปิดปลายเท้าออก แน่ใจว่าปลายเท้าทั้งสองข้างชี้ไปด้านหน้า ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ” เอมิลตรวจดูตำแหน่งของกระดูกสันหลังจนแน่ใจว่าไม่มีใครแอ่นหลังหรือโค้งหลัง

ก้มหัวลง แล้วค่อยๆ ปล่อยต้นคอตาม หัวไหล่ แผ่นหลัง นั่น อย่างนั้นแหละครับ รู้สึกถึงน้ำหนักของหัวเรา มันหนักถึง 3-5 กิโลเลยทีเดียว”

สิ่งเหล่านี้เป็นที่คุ้นเคยอย่างยิ่งสำหรับร่มไม้ และมันทำให้เขานึกไปถึงชีวิตที่ฮ่องกงที่เขาเคยได้เรียนสิ่งเหล่านี้ การเรียนเต้นในโรงเรียนแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การแข่งขันที่สูง ร่างกายที่ถูกใช้งานอย่างหนัก ประกอบกับการที่เพิ่งมาเริ่มเรียนเต้นตอนโตทำให้เขามีปัญหาทางเทคนิคหลายอย่าง แต่กระนั้น เขาก็เต็มใจที่จะโอบกอดความยากลำบากทั้งหมดเอาไว้ และมันก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งหมด

เพราะสิ่งสำคัญคือ .. เขาได้พบแล้วว่า ชีวิตนี้ เขารักที่จะทำอะไร

เหมือนได้พบหนทางของตัวเอง ตั้งแต่เด็กมาแล้วเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองชอบอะไร เรียนหนังสือก็อยู่ในระดับกลางๆ กิจกรรมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก เพื่อนร่วมชั้นเรียนหลายคนต่างกำหนดจุดหมายให้ชีวิต บ้างอยากเป็นหมอ บ้างอยากเป็นวิศวกร บ้างอยากเป็นสถาปนิก บ้างก็มุ่งมั่นจะเป็นนักกีฬา ก็ตามความฝันของเด็กผู้ชายทั่วไปนั่นแหละ แต่ตัวเขาเองกลับไม่รู้สึกอยากจะเป็นอะไรสักอย่าง จนเขารู้สึกว่าชีวิตนี้มันช่างเรื่อยเปื่อยเสียจริง แม้แต่คณะที่เขาเลือกเข้าเรียน ก็ไม่ใช่เพราะความชอบ ก็เลือกตามกลุ่มเพื่อนไปเสียอย่างนั้น แต่กลับกลายเป็นว่ามีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสอบเข้าได้ และเผอิญว่าเขาสามารถเรียนได้อยู่ในเกณฑ์ดีเสียด้วย

ในบางครั้ง ชีวิตมันก็เป็นเรื่องของโชคชะตามากกว่าความตั้งใจ ก็ไม่ใช่เพราะคณะนี้หรอกหรือที่ทำให้เขาพบสิ่งที่เขาสนใจเสียที และช่วงเวลาที่เขาไปเรียนอยู่ในโรงเรียนเต้นที่ฮ่องกงนั้นก็ยิ่งยืนยันว่า .. เขาได้พบมันแล้วจริงๆ ขอบคุณทุนให้เปล่าที่เขาได้รับจากโรงเรียนนี้ ปีแรกผ่านไปด้วยดี ก็ย่อมจะไม่มีปัญหาในการขอต่อทุนสำหรับการเรียนในปีที่สองและปีที่สามอย่างแน่นอน

การมีความฝันในชีวิตมันดีอย่างนี้เอง แต่ละวันมันช่างมีความหมาย แม้ว่ามันจะหนัก จะเหนื่อย จะเครียด หรือท้อแท้สักแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่แคร์เพราะเขามองไปที่จุดเดียว คือ ข้างหน้า ชีวิตกลายเป็นเรื่องสนุก และปลุกให้เขาลุกจากที่นอนในทุกเช้าเพื่อไปโรงเรียนอย่างมีความหวัง ชีวิตนี้เขาอุทิศเพื่อมันไปเสียแล้ว พอกันทีความเรื่อยเปื่อยไร้จุดมุ่งหมายที่เขาอยู่กับมันมาทั้งชีวิต ถึงวันนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการอะไรและเขาก็ตั้งใจที่เดินตามมันไปจนสุดทาง เขาวาดภาพตัวเองจบการศึกษาจากที่โรงเรียนนั้น และเดินทางไปออดิชั่นในทวีปยุโรป ดินแดนแห่งศิลปะ

แต่ในเมื่อชีวิตเป็นเรื่องของโชคชะตามากกว่าความตั้งใจ และเป็นโชคชะตาที่พาเขาไป เขาก็โดนโชคชะตานั่นแหละพัดกลับมา ข่าวร้ายของครอบครัวที่เขาได้รับเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถเรียนต่อได้อีกต่อไป

ภาพความสุขบนเกาะฮ่องกงหายวับเมื่อร่มไม้บอกตัวเองให้หยุดคิดทันควัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะคิดถึงเรื่องนั้นอีก ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงคนที่จากไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ ไม่มีประโยชน์ที่จะบั่นทอนความรู้สึกตัวเองและเฝ้าแต่โทษโชคชะตาที่เขาควบคุมมันไม่ได้ ก็เพราะความสงสารตัวเองนั่นแหละจะยิ่งทำให้ตัวเองอ่อนแอ เขาควรจะภูมิใจในตัวเองสิ เพราะก็ตัวเขาเองไม่ใช่หรือที่กลับมาเยียวยาครอบครัวของเขาได้ทันท่วงที และอย่างน้อย .. อย่างน้อยวันนี้เขาก็ยังได้เดินบนเส้นทางสายนี้อยู่ แม้ว่ามันจะลำบากสักหน่อยก็ตาม

ร่มไม้ดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันได้สำเร็จ และกำลังมีความสุขกับวินาทีนั้นอย่างเต็มที่ เขาสุขอย่างยิ่งที่ได้เต้น และได้ปล่อยให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะลมหายใจด้วยความคุ้นเคย ในชั่วโมงสุดท้ายของการเวิร์คชอปในวันนี้ เอมิลต่อท่าที่เขาจะใช้แสดงในเดือนหน้า ท่าที่เอมิลคิดนั้นไม่ได้กำหนดตายตัว เป็นเพียงโครงร่างคร่าวๆ มาเท่านั้น เหลือช่องว่างให้นักเต้นได้อิมโพรไวส์ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในการแสดงด้วย แต่กระนั้น หลายคนก็เริ่มหลบไปนั่งหลังห้องเพราะตามไม่ทัน แต่ไม่ใช่ร่มไม้แน่ เพราะสำหรับเขา เวิร์คชอปที่แสนสนุกกับความสุขในอดีตที่เขาโดยหาอยู่เสมอ กำลังทาบทับเป็นสิ่งเดียวกัน

หนุ่มน้อย คุณชื่ออะไร” เอมิลไม่ได้เพียงแค่เห็นความสามารถของร่มไม้ แต่เห็นศักยภาพที่จะทำให้ขีดความสามารถของร่มไม้พัฒนาไปได้อีกไกลในอนาคต

ร่มไม้ .. เอ่อ คุณเรียกผมว่าไมค์แล้วกันครับ”

โอเค ไมค์ ก่อนจะจบคลาสในวันนี้ คุณรังเกียจไหม ถ้าผมจะขอให้เต้นโชว์ให้พวกเราดูสักหน่อย”

ร่มไม้หันซ้ายหันขวา เขาแอบตกใจ สีหน้าของเขาทำให้เอมิลหัวเราะ แล้วดึงแขนทอแสงไปยังกลางห้อง

เอ้า เดี๋ยวสาวน้อยคนนี้จะเต้นเป็นเพื่อน”

คราวนี้ร่มไม้ยิ้มออก แต่เป็นทอแสงเองที่หน้าตื่น ร่มไม้เต้นสวยจริงๆ นั่นแหละ เธอมองเขามาอย่างชื่นชมมาตลอดคลาสแม้จะแอบอิจฉาอยู่นิดๆ ก็ตาม แต่การที่เราอิจฉาใครมันก็แปลว่าเราชอบเขาไม่ใช่หรือ ถ้าเอมิลให้เธอเต้นคู่กับเขา ก็แสดงว่าตัวเธอเองก็น่าจะไม่เลวเหมือนกัน

เสียงเพลงดังขึ้น ทั้งคู่มองตากันในกระจก เอมิลไม่นับให้เพราะเพลงที่เปิดนี้ไม่มีจังหวะให้นับ และการจะเต้นไปด้วยกันให้ได้นั้น ต้องใช้ 'ความรู้สึก' ล้วนๆ

ทั้งคู่ล้วนเข้าใจ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายหายใจเข้า เราก็ต้องหายใจเข้าไปพร้อมกับเขา เมื่อหายใจออกร่างกายเราก็จะเคลื่อนไหว และเมื่อไหร่ที่เราหายใจพร้อมกัน เราก็จะเต้นพร้อมกันเอง ลมหายใจเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะอ่านลมหายใจของกันก็ไม่ต่างจากการอ่านใจกันและกัน ไม่แปลกที่คู่เต้นที่เต้นด้วยกันมานานย่อมจะจับลมหายใจของกันและกันได้ แม้แค่ตั้งท่าจะหายใจเข้าก็รู้แล้วว่าอีกคนจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางไหน

ร่มไม้เองเรียนมาแบบนั้น และสำหรับทอแสง แม้เธอจะไม่ได้มีโอกาสได้ไปร่ำเรียนถึงที่อย่างร่มไม้ แต่สิ่งเหล่านี้ เอมิลเองก็เคยสอนไว้ในวันท้ายๆ ของเวิร์คชอปเมื่อหลายปีก่อนที่เธอยังจำได้ดี แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่มีทีท่าว่าจะจำเธอได้เลยด้วยซ้ำ

ร่มไม้หายใจเข้าพร้อมกับที่ทอแสงหายใจเข้าเช่นกัน ก่อนจะปล่อยลมหายใจออกพร้อมกัน ในจังหวะเดียวกับที่ขาทั้งสองย่อลงตามแรงดึงของมือขวาที่ปล่อยตกลงเรี่ยพื้น ทั้งคู่สูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง ขาขวายึดพื้นไว้มั่นในขณะที่ค่อยๆ เหยียดตรงขึ้น พร้อมกับมือขวาและขาซ้ายที่วาดขึ้นเป็นวงกลมช้าๆ จนกระทั่งหายใจเข้าจนสุดปอด จึงกระแทกลมหายใจออก พร้อมกับเก็บขาซ้ายและแขนขวาหดเข้ากับลำตัวพร้อมกัน ก่อนจะทิ้งลำตัวลงกับพื้น ม้วนลำตัวบนแผ่นหลังแล้วกลับมาขึ้นมายืนอีกครั้ง โดยหันหน้าไปทางมุมซ้ายของห้อง คราวนี้ร่มไม้อยู่ด้านหน้า

ร่มไม้รู้ว่าในขณะนี้เขาเป็นผู้นำ และรู้อีกแหละ ว่าทอแสงจะตามจังหวะการหายใจของเขา สายตาไม่ใช่สิ่งสำคัญ คนที่อยู่ด้านหน้าไม่อาจหันมามองคนที่อยู่ข้างหลังได้ คนข้างหลังต่างหากที่ต้องมองคนข้างหน้า หากเป็นหน้าที่ของคนข้างหน้าที่จะต้อง 'รู้สึก' ถึงคนข้างหลัง แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม

เขาหายใจเข้า ปล่อยศีรษะให้เงยขึ้นตามแรงหายใจ จากหางตาเขารู้สึกถึงทอแสงที่ยืนเฉียงกับเขาไปทางด้านหลัง และรู้สึกได้ว่าเธอเองก็กำลังอ่านเขาอยู่เช่นกัน เขาใช้กลางศีรษะดึงน้ำหนักตัวไปด้านหลังจนกระทั่งน้ำหนักของร่างกายส่วนบนอยู่เลยสะโพกไปทางด้านหลัง ส่งผลให้ขาทั้งคู่ต้องวิ่งถอยหลังเพื่อไปรับน้ำหนักของลำตัวให้ทัน ในเวลานี้ร่างกายของนักเต้นต้องสื่อสารกับตัวเอง แขน ขา และลำตัว ต้องทำงานเชื่อมโยงกันได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยากคือ คนทั้งคู่ต่างก็ต้องคุยกับตัวของตัวเองในจังหวะลมหายใจเดียวกันกับอีกคนด้วย

แล้วทั้งคู่ก็สูดลมหายใจเข้าพร้อมกันอีกครั้ง พร้อมกับยกขาขวาขึ้นทางด้านหลัง เมื่อหายใจเข้าจนสุดแล้ว เขาก็หายใจออกพร้อมกับลดขาลงอย่างรวดเร็ว 'ดรอป' ทุกอย่างลง นึกอุ่นใจที่ได้ยินเสียงลมหายใจออกรวดเร็วเช่นกันจากทางด้านหลัง แล้วลมหายใจเข้าก็ตามมาพร้อมกับร่างกายที่พุ่งสูงขึ้นด้านบนบนขาซ้ายที่เขย่งขึ้นไปยืนบนปลายเท้า และขาขวาถูกดึงขึ้นจนปลายเท้าอยู่ในระดับหัวเข่า

“suspend” เป็นครั้งแรกที่เอมิลพูดขึ้น จะค้างท่าให้มัน suspend อยู่ในอากาศตามที่เอมิลบอกได้นั้น ต้องควบคุมที่ลมหายใจเข้า ทั้งคู่เปิดมือออกพร้อมกับปล่อยสะโพกขวาให้ดึงน้ำหนักตัวออกไปทางขวา แล้วดึงลำตัวช่วงบนกลับทางด้านซ้ายเพื่อให้น้ำหนักสมดุล แล้วค่อยๆ ปล่อยให้ร่างกายหมุนไปยังอีกมุม และคราวนี้ทอแสงก็กลายเป็นคนที่อยู่ด้านหน้าแทน เธอเองก็รู้เท่าๆ กับร่มไม้นั่นแหละ ว่าคนข้างหลังจะต้องตาม แต่เธอไม่เคยเต้นกับเขามาก่อน เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะตามเธอทัน แต่กระนั้นถึงวินาทีนี้เธอต้องไว้ใจในตัวเขาแล้ว ว่าเขาจะต้องเป็นผู้ 'อ่าน' ลมหายใจของเธอบ้าง

เธอหายใจเข้าจนสุด เธอปล่อยลมหายใจออกพร้อมกับลดขาขวาลง มือขวาตวัดเข้าสู่กลางลำตัว ผลักให้สะโพกซ้ายกลับไปทางด้านหลัง ส่งผลให้ร่างกายหมุนเป็นวงกลมสวยงาม

..พร้อมกันกับร่มไม้

ตอนนี้ทั้งคู่หันหน้าไปด้านหน้า ไม่มีใครนำใครแล้ว ต้องรู้สึกถึงกันและกันเอง พวกเขากำลังจะวิ่งข้ามไปอีกฝั่งของห้อง แล้วทำท่ากระโดดเป็นท่าสุดท้าย ร่มไม้กับทอแสงสูดลมหายใจลึก แล้วออกวิ่งเคียงคู่กันไป หันมามองหน้ากันแวบหนึ่ง สายตาทั้งสองคู่สื่อสารกันรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่สมองจะคิดการณ์ได้ทัน เพราะร่างกายของนักเต้นไว้กว่าความคิดเสมอ รู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็กระโดดลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกันแล้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้น แล้วกลิ้งตัวตามแรงโมเมนตัมก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

เยี่ยมครับ ดีมากเลย” เอมิลกล่าวขึ้นพร้อมกับปรบมือแล้วผายมือไปยังทุกๆ คน “ขอบคุณทุกคนมากๆ สำหรับวันนี้นะครับ วันนี้พอแค่นี้ แล้วพบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ”

เสียงปรบมือเปลี่ยนไปเป็นการปรบมือเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเอมิล แล้วทุกคนก็ทยอยออกจากห้อง บ้างก็ใช้เวลาต่อในห้องอีกเล็กน้อยเพื่อยืดเหยียดร่างกาย รวมทั้งทอแสงด้วย วันนี้เธอไม่เข้าออฟฟิศ เพราะเธอกำลังรู้สึกดีกับตัวเอง และคิดว่าการไม่เข้าไปพบกับบรรยากาศที่ออฟฟิศน่าจะดีกับตัวเธอมากกว่า


แล้วที่บ้านไม่ว่าเหรอถ้าเธอไม่ไป” ร่มไม้ยังจำเรื่องราวที่ทอแสงเล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อนได้

วันนี้พี่สาวเราไม่เข้าน่ะ โชคดีเขาไปต่างประเทศช่วงที่มีเวิร์คชอปนี้พอดี เลยมาได้นี่ไง”

แล้วถ้าเขารู้เขาจะว่าไหม” ทอแสงยักไหล่

ก็.. ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ เขาก็หาเรื่องว่าเราเรื่องอื่นได้อยู่แล้วล่ะ เราก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดน่ะ เราไม่เข้าออฟฟิศใช่ว่าเราจะไม่ทำงาน เราเพียงแต่ไม่อยากนั่งทำงานในออฟฟิศน่ะ เราก็แค่เอางานออกมาทำข้างนอก”

งั้นไปนั่งร้านกาแฟกันไหม ร้านเดิมน่ะ เราจะไปนั่งทำงานเหมือนกัน” ร่มไม้เอ่ยปากชวน ทั้งที่ปกติเขาไม่ค่อยจะชวนใครไปไหน แต่การได้เต้นด้วยเมื่อสักครู่ ทำให้เขารู้สึกว่าเขาสนิทกับทอแสงมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

อื้ม โอเค ไปสิ” น่าแปลก คนที่ปกติชอบอยู่คนเดียวอย่างเธอก็รีบตอบรับทันที ไม่นานทั้งคู่ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟเจ้าประจำของร่มไม้

สั่งกาแฟกันเรียบร้อย ทอแสงก็สังเกตว่าร่มไม้มุ่งหน้าไปยังที่นั่งเดิมที่เธอมาเจอเขาเมื่อคราวก่อน ไม่ต้องถาม ร่มไม้ก็พูดขึ้นเอง

แถวนี้เงียบดีน่ะ ปกติเราชอบนั่งแถวนี้”

ทอแสงยิ้มรับแทนคำตอบ แล้วเลื่อนเก้าอี้นั่ง

เฮ้อ เหนื่อยเนอะ” ร่มไม้พูดพลางทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม

มาก” คนตอบรับกลับยิ้มกว้าง “เหนื่อยคุ้มค่าดี”

เฮ้ย เราชอบคำนี้” ร่มไม้บอก “ใช่เลยแหละ เหนื่อยนะ แต่มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เว่อร์ไปเปล่า”

ไม่ล่ะ ถ้าเว่อร์ ก็เว่อร์ไปด้วยกันนี่แหละ”

ร่มไม้หัวเราะ พลางเปิดสมุดบันทึก ทอแสงจึงเดินไปสั่งกาแฟ เมื่อเดินกลับมาก็เห็นร่มไม้นั่งขมวดคิ้วหมุนปากกาจ้องสมุดบันทึกตัวเองอยู่

ทำอะไรน่ะ” เธอถาม ร่มไม้ไม่ตอบ แต่หมุนสมุดมาให้เธอดู ทอแสงชะโงกหน้าไปดูก็เห็นปฏิทินรายเดือนที่เจ้าของสมุดวาดเองด้วยมือ ตารางงานเต็มพรืดไปด้วยลายมือของร่มไม้ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยผิดลายมือของเด็กผู้ชายทั่วไป

โอ้..”

เรากำลังพยายามจัดตารางเวลาชีวิตเราอยู่น่ะ มันชักไม่ค่อยลงตัว เราทำงานหลายอย่าง ตอนนี้เวลามันออกจะชนๆ กันอยู่” เจ้าของสมุดยิ้ม วางปากกาที่มันน่าจะถูกหมุนจนเวียนหัวแล้วลง แล้วถามทอแสงบ้าง “เป็นไง คลาสเมื่อกี้นี้ชอบไหม”

โห เหมือนได้ชีวิตคืนเลยล่ะ”

ร่มไม้เลิกคิ้ว ทำให้ทอแสงต้องรีบชิงออกตัวด้วยเสียงหัวเราะ

โอเค เรายอมรับว่าคราวนี้เราเว่อร์”

เปล่า กำลังจะบอกว่าเหมือนกัน” ร่มไม้ยิ้มกว้าง “เราไม่ได้เต้นแบบนี้มานานแล้ว มันทำให้เราจำได้ว่า ทำไมเราถึงรักการเต้น และวันแรกที่เราเริ่มเต้นนั้น เราเริ่มเต้นเพราะอะไร”

เธอเต้นสไตล์นี้ได้สวยมากเลยนะ” ทอแสงชม

เหรอ ขอบใจนะ แต่มันคงเพราะเราได้เรียนมาด้วยแหละ”

ไม่ใช่ เราหมายถึงมัน ..ถึง.. น่ะ เต้นแล้วมันรู้สึกได้”

จริงเหรอ ตอนเธอเต้นเราก็ชอบดูนะ นี่แอบดีใจนะเนี่ยที่เธอชอบเต้นสไตล์นี้เหมือนกัน ตั้งแต่เรากลับมาเมืองไทย เราก็มองหามาตลอดว่าจะมีใครที่ชอบเต้นสไตล์นี้บ้าง แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมี จนคิดว่าไม่น่าจะมีใครรู้จักมันด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าอย่างน้อยๆ ก็มีเธออีกคน”

ฮื่อ.. เราก็ดีใจเหมือนกัน เราเองก็คิดว่าเราชอบอยู่คนเดียวมาตลอดเหมือนกันแหละ” ทอแสงยิ้มรับ แล้วหยิบแฟ้มงานพร้อมคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คออกมาจากกระเป๋า “แต่ไอ้นี่สิ เราไม่ชอบเลย”

งานที่บ้านเหรอ” ร่มไม้ถาม

ใช่”

ทำมันให้ดีที่สุดนะ เราไม่อยากให้เธอมีปัญหากับที่บ้าน เพราะเราอยากเต้นกับเธองานนี้นะ เต้นกับเธอสนุกดี”

เหรอ โอเค เราจะพยายาม ขอบใจมากนะ” ทอแสงยิ้มออก แล้วเริ่มต้นทำงาน

แล้วคนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไปเงียบๆ เป็นความรู้สึกสบายๆ ดีแบบที่ทั้งคู่ต่างต้องการ บางทีคนเราก็ต้องแค่เพื่อนที่จะนั่งเงียบๆ ข้างๆ กันให้อุ่นใจเท่านั้นเอง

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนล่วงเข้าเวลาเย็น ทอแสงก็ขอตัวเพราะเจตน์จะไปรับที่บ้านเพื่อออกไปกินข้าว บ้านของทอแสงและหอพักของร่มไม้ไม่ไกลจากร้านกาแฟร้านนี้สักเท่าไหร่นัก แต่แยกกันไปคนละทาง

ไปละนะ พรุ่งนี้เจอกัน” ทอแสงพูดขึ้นเมื่อเดินออกมาถึงหน้าร้าน

จ้ะ พรุ่งนี้มาลุยกันต่อ” ร่มไม้ตอบพลางโบกมือ


ร่มไม้เดินแยกไปอีกทาง ยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ค้างอยู่บนใบหน้าของเขา เขาเลือกที่จะเดินกลับหอแทนที่จะนั่งรถประจำทาง เย็นๆ แบบนี้รถประจำทางคนแน่น แถมรถก็ติด การเดินกลับก็ใช้เวลาพอๆ กัน และยังดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า

ห้องพักของเขาซึ่งแชร์กับเพื่อนอีกคนนั้น วันนี้เงียบเหงา เพราะเพื่อนเขากลับต่างจังหวัด เพื่อนเขาคนนี้ก็เป็นพวกคนตามฝันเหมือนกับเขานั่นแหละ แค่ฝันกันไปคนละอย่างเท่านั้นเอง แต่กระนั้น แม้ห้องจะเงียบ แต่ใจเขากลับไม่เหงา ตรงกันข้าม มันกลับลุกฟูขึ้นอย่างประหลาด มันฟูขึ้นด้วยแรงบันดาลใจที่ไหลเข้ามาเติมเต็มความว่างเปล่าที่มันเริ่มเข้ามายึดพื้นที่ในหัวใจเขาทีละน้อยๆ นับจากเสร็จสิ้นการแสดงคราวก่อน ความห่วงใยครอบครัวเริ่มจะเข้ามามีน้ำหนักมากกว่าความฝัน เขาเกือบคิดจะทิ้งมันอยู่รอมร่อ เขาเกือบจะคิดว่าความฝันของเขาไม่มีความสำคัญ

แต่แล้วเวิร์คชอปวันนี้ก็ช่วยทำให้เขาจำได้อีกครั้งว่า เพราะอะไรเขาจึงเลือกเดินบนทางสายนี้ ทำให้เขาจำได้ว่า ความรู้สึกร้างไร้ซึ่งแรงบันดาลใจใดๆ ที่เขาเคยเป็นมาก่อนที่เขาจะได้มาพบเจอกับการเต้นนั้น มันช่างกลวงโบ๋อย่างโหดร้ายอย่างไรบ้าง และในวันนี้การเต้นมันเข้ามาช่วยชีวิตเขาได้ทัน ก่อนที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำแก่ความว่างเปล่าเช่นนั้นอีกครั้ง

และภาพทุกอย่างก็สมบูรณ์มากขึ้นเมื่อเขาได้เต้นกับทอแสง เขาสัมผัสได้ถึงไฟฝันในตัวเธอที่มันล้นออกมาในยามที่เต้นคู่กับเขา แม้จะดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่นักก็ตาม แต่นักเต้นย่อมรู้ดีว่า ในยามเต้นด้วยกัน แม้สิ่งที่เก็บไว้ลึกสุดใจจนแม้แต่ตัวเองก็ทำลืมไปนั้น ก็ไม่อาจจะปกปิดจากคู่เต้นได้เลย

ร่มไม้เดินไปเปิดกระเป๋าที่ยังกองไว้อยู่หน้าประตู แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

เขายิ้ม..

Wednesday, 6 June 2012

3.

3.


ภายในอาคารมืดกว่าด้านนอก ทอแสงจึงเลื่อนแว่นกันแดดขึ้นไปคาดไว้บนหัว ผมของเธอยังเกล้าไว้เป็นมวยสูงเผยให้เห็นต้นคอระหง เสื้อเชิ้ตบางสีขาวเผยให้เห็นช่วงลำตัวแบบบางในเสื้อรัดรูปสีน้ำเงินที่เธอใส่อยู่ด้านใน เข้าชุดกับกระเป๋าสีน้ำเงินใบใหญ่ที่เธอ “แบก” ติดตัวเป็นประจำ กางเกงยีนส์แนบเนื้อสีดำกับรองเท้าบูทสั้นทำให้รูปร่างเธอดูเพรียวสมส่วน

ทอแสงเดินลิ่วผ่านโต๊ะพนักงานเข้าสู่ห้องด้านใน เธอเคาะประตูเป็นเชิงบอกให้รับรู้ถึงการมาถึงมากกว่าจะขออนุญาต แล้วเปิดประตูเข้าไป

อุ้ย คุณทอแสง สวัสดีค่ะ” พนักงานหนึ่งคนในห้องหันมามองพร้อมกล่าวทักทาย

เธอยิ้มตอบ แล้วเดินไปนั่งรอที่โซฟามุมห้อง ไม่นานพนักงานหญิงคนนั้นก็เดินออกจากห้องไป เจ้าของห้องจึงหันมาหาทอแสง

กว่าจะโผล่มาได้ แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ มันใช่ไหมเนี่ย นี่มันออฟฟิศนะ ไม่ใช่ห้าง”

ทอแสงไม่ต่อปากต่อคำ รีบชิงเข้าเรื่อง

พี่รุ้งจะให้ทำอะไรคะ เห็นว่าด่วน”

ทอรุ้งหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะส่งให้น้องสาว

ทั้งแฟ้มนั่นแหละ ไปอ่านมาให้เข้าใจ ศึกษางานก่อน มีอะไรไม่เข้าใจให้ถาม พี่จะให้เธอเข้ามาคุมงานส่วนนั้น”

ทอแสงเอื้อมมือไปรับเอาแฟ้มนั้นมา ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามทอรุ้ง แล้วดึงขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ตามความเคยชิน

ทอแสง” เสียงทอรุ้งเหนื่อยหน่าย “พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาขาขึ้นมาบนเก้าอี้ นี่ออฟฟิศนะ พนักงานข้างนอกเห็นแล้วมันไม่ดี “

ทอแสงก็ลืมตัวจริงๆ แหละ เธอไม่เคยทำตัวได้ 'เหมาะสม' เลยสักครั้งเวลาอยู่ที่นี่

แล้วเย็นนี้มีกินข้าวกับลูกค้า คุณพ่ออยากให้เธอไปด้วย แต่พี่อยากให้เธอกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ทอรุ้งมองน้องสาวอย่างสำรวจ “แว่นบนหัวน่ะเอาออกด้วย มันไม่สุภาพ นี่ออฟฟิศนะ”

เป็นครั้งที่สามตั้งแต่เธอเข้ามาที่ทอรุ้งพูดย้ำว่านี่คือออฟฟิศ ทอแสงแอบถอนใจ คันปากอยากจะบอกพี่สาวว่าไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะเธอก็รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน เธอไม่อยากทำตัวมีปัญหามากกว่านี้ ที่ผ่านมาเธอก็เป็นปัญหาของครอบครัวมากพอแล้ว

กี่โมงคะพี่รุ้ง”

หกโมงครึ่ง พ่อเขาอยากจะแนะนำเราให้ลูกค้ารู้จักเธอ”

อ้าว ทำไมต้องแนะนำด้วยล่ะพี่รุ้ง ลูกค้าใหม่เหรอคะ”

ไม่ ก็ลูกค้าเดิมนี่แหละ แต่พ่อจะแนะนำให้รู้จักในฐานะหนึ่งในทีมผู้บริหาร ไม่ใช่เจ้าหญิงของตระกูล” ทอรุ้งจงใจกระแทกเสียง แต่ทอแสงทำเป็นไม่ได้ยินคำเหน็บแนมของพี่สาว

งั้นเดี๋ยวหนูกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ 'เหมาะสม' ก่อนนะคะ” ทอแสงเน้นคำว่าเหมาะสมเป็นพิเศษ “แล้วเดี๋ยวตามไปที่ร้านแล้วกัน”

ทอรุ้งทำเป็นไม่สนใจการประชดประชันนั้นเช่นกัน เธอเพียงแต่บอกชื่อร้านให้น้องสาวตามไปเจอเมื่อถึงเวลานัดหมาย

อย่าสายนะ”


ทอแสงก้าวออกจากห้องของทอรุ้งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สวนทางกับทอธนะน้องชายของเธอที่เพิ่งก้าวออกจากห้องประชุมพร้อมกับพนักงานในบริษัทอีกจำนวนหนึ่ง ทอธนะเป็นชายหนุ่มที่ถึงพร้อมด้วยหน้าตาและการศึกษา ด้วยวุฒิปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่เขาเพิ่งจบมาเมื่อไม่นานมานี้ วันนี้เขาอยู่ในชุดสูทสะอาดสะอ้านสมกับตำแหน่งผู้บริหาร และดูแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทอแสง

แต่ทอแสงรู้สึกผิดที่ผิดทางเกินกว่าจะสามารถพูดคุยทักทายกับน้องชายของเธอได้ในขณะนั้น โดยเฉพาะต่อหน้าพนักงานคนอื่นๆ เธอจึงเพียงยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วรีบเดินลิ่วออกไป

เมื่อก้าวพ้นประตูบริษัทออกมาแล้ว เธอก็สูดลมหายใจลึก คำว่าเจ้าหญิงที่พี่สาวเธอแดกดันมาเมื่อสักครู่ยังดังอยู่ในหัว เธอลูบหน้าตัวเองเหมือนจะเรียกสติ นี่ไง มันมาถึงเวลาที่เธอจะพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวของเธอเห็นเสียทีว่าเธอทำได้ และไม่ได้เป็นคนเหลวไหลอย่างที่ทุกคนที่บ้านคิด ความเป็นผู้ใหญ่วัดกันที่ความอดทน เธอต้องอดทนและเป็นผู้ใหญ่ให้ได้

ทอแสงยังไม่อยากกลับเข้าบ้าน เธอยังมีเวลาทั้งบ่ายเพื่อ 'ศึกษางาน' ที่ได้รับมอบหมายมา และเธอต้องการสถานที่สักแห่งที่จะนั่งสงบจิตใจและ ..เริ่มต้น

เริ่มต้นชีวิตใหม่ กำหนดความฝันในชีวิตเสียใหม่

อย่าง 'ผู้ใหญ่' เสียที



เพราะเป็นตอนบ่ายของวันธรรมดา ภายในร้านจึงค่อนข้างโล่ง ร่มไม้ซุกตัวอยู่ในมุมโปรด ด้วยรสกาแฟที่ถูกปาก ราคาที่ไม่แพงจนเกินไป เสียงเพลงที่เปิดดังพอดีๆ และมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตฟรีๆ ให้ใช้ ทำให้เขามาที่นี่ประจำและมักจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ครั้งละนานๆ

กาแฟหมดแก้วไปนานแล้วแต่ภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขนาดกะทัดรัดยังคงเล่นต่อไป จะกระทั่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตสะดุดนั่นแหละ จึงทำให้คลิปวิดีโอสะดุดไปด้วย ร่มไม้เงยหน้าขึ้นพักสายตาระหว่างที่รอสัญญาณ เขาจึงเห็นทอแสงกำลังยืนสั่งกาแฟ

..อ้าว ไหนบอกจะเข้าออฟฟิศ..

ร่มไม้คิด เขาควรจะทักทอแสงดีหรือไม่ เขาไม่ได้รังเกียจอะไรเธอหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้สนิทกับเธอเท่าไหร่นัก และการนั่งกับคนไม่สนิท มันก็ยากนักที่จะทำตัวตามสบายได้ ทอแสงซื้อกาแฟเสร็จแล้วหันหน้ามาทางเขาพอดี

..โอเค ไม่ต้องคิดแล้ว.. ร่มไม้บอกตัวเอง แล้วโบกมือทักทายทอแสง


หวัดดี มาได้ไงเนี่ย” ร่มไม้เอ่ยถาม

หวัดดีจ้ะ ทำอะไรน่ะ” ทอแสงไม่ตอบ แต่ถามกลับ

นั่งฆ่าเวลา รอขึ้นรถตู้กลับบ้าน แล้วเธอไม่ต้องเข้าออฟฟิศเหรอ”

เราไปเอางานจากออฟฟิศมานั่งทำน่ะ” ทอแสงเลื่อนแฟ้มส่งให้ร่มไม้ดู

อ้อ นั่งด้วยกันสิ”

อ่า.. อื้ม” ทอแสงจำต้องพยักหน้ารับ ทั้งที่รู้สึกว่าออกจะผิดแผน เธอชอบที่จะนั่งทำอะไรเงียบๆ คนเดียวมากกว่า แต่เมื่อร่มไม้ออกปากชวน จะปฏิเสธไม่นั่งด้วยก็กระไรอยู่

แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะเป็นไปด้วยดีโดยไม่ต้องพยายามอะไรมากมายนัก เธอนั่งทำงานของตัวเองไปเงียบๆ ส่วนร่มไม้ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก็เงียบเช่นกัน ชั่วโมงกว่าแล้วที่ต่างคนต่างก็อยู่ในโลกส่วนตัว แค่เอาโลกของตัวเองมาวางใกล้ๆ กันเท่านั้น ก็ดีแฮะ.. ดีแบบแปลกๆ แต่ก็รู้สึกสบายๆ ดี ทอแสงนึกถึงที่ใครบอกคนเคยบอกว่า เพื่อน คือคนที่เราสามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องมีคำพูดอะไรสักคำ

ยิ้มอะไร” ร่มไม้ถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นทอแสงนั่งอมยิ้มอยู่ฝั่งตรงข้าม

เปล่า ไม่มีอะไร นั่งคิดอะไรแล้วมันก็ขำๆ ขึ้นมาน่ะ”

อะไรของเธอ” ร่มไม้ยิ้มแบบงงๆ “ดูนี่สิ” ร่มไม้หันหน้าจอของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คตัวจิ๋วมาทางเธอ

อยากให้เธอดูคลิปนี้ เป็นงานคอนเทมจากเนเธอร์แลนด์น่ะ” ร่มไม้หมายถึงคณะคอนเทมโพรารีแดนซ์ชื่อก้องโลกจากเนเธอร์แลนด์ที่เขาชื่นชอบ

เพียงเห็นภาพปะหน้าคลิป ทอแสงก็รู้เช่นกันว่าร่มไม้หมายถึงคณะไหน เธอหยิบหูฟังที่ร่มไม้ส่งมาให้ขึ้นมาใส่หู สายตาจับจ้องไปที่นักเต้นชายหญิงบนเวที คอสตูมแนบเนื้อเผยให้เห็นเส้นสายลายกล้ามเนื้อที่แข็งแรงเป็นเรียวยาว เท้าเปล่าเปลือยรับน้ำหนักของท่วงท่าอย่างชำนาญ ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของโมเมนตัมที่รับส่งซึ่งกันและกัน ผสานกับเทคนิคบัลเล่ต์ที่ฝึกปรือมาอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้การเต้นของทั้งคู่สวยงามและลื่นไหลราวบทสนทนาที่ไร้คำพูด

เป็นไง ชอบไหม” ร่มไม้ถามเมื่อทอแสงเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอ

ชอบมาก เราเคยได้เต้นแบบนี้ด้วยนะ แต่เสียดาย ไม่ค่อยได้เห็นในเมืองไทยสักเท่าไหร่ ไม่มีใครสอนด้วย” ทอแสงตอบ

เธอเคยเต้นด้วยเหรอ ที่ไหน ยังไง เราเคยได้เรียนเต้นแบบนี้มาจากฮ่องกงน่ะ แต่จริงอย่างที่เธอว่าแหละ เมืองไทยมันไม่มี”

โห เธอเรียนจากที่นั่นเลยเหรอ ดีจัง เราเองเคยแค่เข้าเวิร์คชอป ตอนนั้นคณะจากฝรั่งเศสมาเปิดการแสดงที่เมืองไทยน่ะงานเชื่อมสัมพันธ์อะไรสักอย่างนี่แหละ ตอนนั้นเขาจัดเวิร์คชอปด้วยน่ะ เราเลยสมัครไป หลายปีมาแล้วล่ะ”

หืม.. งานเชื่อมสัมพันธ์ไทยฝรั่งเศสจัดโดยสมาคมฝรั่งเศสรึเปล่า”

อืม ใช่ๆ งานนั้นแหละ นักเต้นนำชื่อเอมิล ว็องแดล เขานั่นแหละมาเวิร์คชอปให้ แล้วก็เพราะเขานั่นแหละ เราถึงชอบการเต้นสไตล์นี้มากที่สุด”

ฮ้า .. เธอรู้มั้ย เพราะงานนั้นแหละ เราถึงมาเต้น” ร่มไม้เล่าให้เพื่อนเหมือนจะใหม่ของเขาฟังว่าเขาก้าวมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง การได้รู้ว่าต่างมีจุดกำเนิดของแรงบันดาลใจร่วมกันมันช่างดีจริงๆ

เราอยากไปต่อนะ” ร่มไม้บอก

ไปไหน”

คณะนี้น่ะ” ร่มไม้ชี้ไปที่จอคอมพิวเตอร์

อ๋อ อื้ม.. เราก็อยากไป” ทอแสงเออออ

ไม่ เราหมายถึงเราจะไปจริงๆ” ร่มไม้เน้นคำว่า 'จะไป'

หืม.. ?“

อื้ม”

ทอแสงจนด้วยคำพูดเมื่อร่มไม้ทำราวกับกำลังบอกว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด

หรือไม่ก็หาคณะที่เล็กกว่านี้ก็ได้ มันต้องมีสักที่ในยุโรปนั่นแหละที่เราพอจะไปได้”

ทอแสงพยายามซ่อนความรู้สึกไว้ภายใต้ดวงหน้ายิ้มๆ ของเธอ เธอไม่อยากทำลายความฝันของใคร แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ร่มไม้ต้องการจะไปให้ถึงนั้น แทบไม่มีทางเป็นไปได้

แต่ร่มไม้ไม่โง่ .. เขาเห็น

ไม่เชื่อเหรอ”

ไม่เชื่อว่าอะไร”

ไม่เชื่อว่าเราจะไปได้น่ะ”

สำหรับเธอเราไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรา เรารู้ว่าเราคงไปไม่ถึงแน่” เธอก็เลยหยุดฝัน แล้วกลับมาสู่โลกความเป็นจริงนี่ไง

เราเองก็ยังไม่รู้หรอก เราก็ฝันไปก่อนน่ะ มันก็ดีกว่าอยู่ไปวันๆ โดยไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร”

ก็จริงนะ” ทอแสงตอบแค่นั้น แล้วต่างคนต่างก็กลับเข้าไปในโลกส่วนตัวต่อไป ทอแสงนั้นยังคงสนทนากับตัวเองไปอย่างเงียบๆ แม้สายตาจะจับจ้องอยู่ที่เอกสารที่ยังอ่านไม่จบนั้นก็ตาม ยิ่งพยายามจะมีสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้า ภาพของคลิปวิดีโอที่ได้ดูมาเมื่อสักครู่มันก็ยิ่งกลับเข้ามารบกวนจิตใจ

..บ้าน่า มันจบไปแล้ว ทอแสงบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่มไม้อาจจะฝันต่อไป แต่เธอตื่นแล้ว เธอโตแล้ว เธอมีงานที่ต้องรับผิดชอบ อนาคตที่มั่นคง กับคนคนหนึ่งที่เขาและเธอต่างวาดหวังไว้ว่าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน ..เจตน์

ทอแสงกดโทรศัพท์หาเจตน์ ถ้าเขามาทานข้าวด้วยกันไปคืนนี้ก็คงจะดี เขาเองก็ไม่ต่างอะไรจากสมาชิกในครอบครัวของเธอคนหนึ่งเช่นกัน

ไม่ว่างอีกแล้วเหรอคะ ไม่ได้เจอกันตั้งสองอาทิตย์แล้วนะ” เสียงทอแสงออกจะผิดหวัง

พี่ต้องทำงานนี่ครับ ตอนนี้เราก็เริ่มทำงานเหมือนกันนี่ น่าจะเข้าใจพี่นะ” เจตน์พยายามใช้น้ำเสียงปลอบใจมากลบความรำคาญ

พี่เจตน์ ทอแสงไม่ได้เพิ่งเริ่มทำงานนะคะ แค่งานเราต่าง..” แต่เจตน์ไม่ปล่อยให้ทอแสงพูดจนจบ

คือพี่หมายถึงงานที่มันเป็นงานจริงๆ น่ะ”

ทอแสงก็รู้แหละว่าเจตน์หมายถึงอะไร แต่กระนั้นก็อดขุ่นใจไม่ได้ งานที่เธอรัก มันไม่ได้มีความหมายในสายตาคนที่เธอรักเลย เธอลอบถอนใจยาว

ทอแสงเข้าใจค่ะ เจอกันตอนที่เราทั้งคู่ว่างจากงานแล้วกันนะคะพี่เจตน์”

เจตน์ไม่แน่ใจว่าในเสียงเรียบๆ ของทอแสงนั้นมีรอยประชดประชันอยู่หรือไม่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจเสียดีกว่า

โอเคจ้ะ พี่ไปประชุมก่อนนะ”

ทอแสงกดวางสายแล้วก็ได้แต่นั่งเงียบ เดี๋ยวนี้คุยกับเจตน์แล้วมันไม่สบายใจอย่างที่เคยเป็น ตรงกันข้าม เจตน์กลับทำให้ทอแสงรู้สึกแย่อยู่บ่อยครั้งอย่างเช่นในครั้งนี้เป็นต้น แต่ในเมื่อเธอรักเขาและเลือกเขาแล้ว เธอก็ควรจะต้องปรับตัวและปรับทัศนคติให้ไปด้วยกันกับเขาให้ได้ เพราะสิ่งที่คนที่เธอรักให้ความสำคัญ มันก็ควรจะสำคัญต่อเธอเช่นกัน



ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ร่มไม้ละสายตาจากหน้าจอระหว่างนั่งรอสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่สะดุดลงอีกครั้ง สายตาเขาเหม่อมองไปยังทอแสงที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ ระหว่างที่ปล่อยให้คลิปวิดีโอโหลดจนเสร็จ

ทอแสงทำงานอะไรเหรอ” ร่มไม้ถามขึ้น

เอ่อ.. หลักๆ แล้วเราทำงานกับที่บ้านน่ะ แต่ก็เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นานหรอก นอกนั้นก็มีสอนอยู่ที่บ้านสวนนี่แหละ”

อ้าว แล้วก่อนหน้านี้เธอทำอะไรล่ะ เต้นกลางคืนเหรอ” ร่มไม้อยากรู้ เพราะดูแล้วบุคลิกของทอแสงไม่น่าจะใช่คนที่ทำงานแบบนั้นได้ แล้วก็จริงอย่างที่ร่มไม้คาดการณ์

เปล่า เราทำไม่ได้น่ะ เราทำตัวไม่ถูกในที่แบบนั้น คือถ้าให้เราไปเต้นเป็นงานๆ ไปมันก็พอจะได้อยู่ แต่ถ้าให้เราทำงานที่นั่นทุกวัน เราทำไม่ได้น่ะ ถึงเงินมันจะดีก็เถอะ จะว่าเราไม่เป็นมืออาชีพพอก็คงได้”

ไม่เลย เราเข้าใจ เราควรจะเลือกได้นี่ว่าเราอยากให้ชีวิตเราเป็นแบบไหน” ก็เขาเองก็เป็นอีกคนหนึ่งเช่นกันที่ไม่ขอเลือกจะใช้ชีวิตแบบนั้น “แล้วก่อนหน้านี้เธอทำอะไรล่ะ”

ทอแสงเองก็รู้ตัวว่า เธอแทบจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เธอมีงานสอนเต้นอยู่ที่สตูดิโอเล็กๆ แถวบ้าน และสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษา แต่เวลาหลักส่วนใหญ่ของเธอก็ทุ่มเทให้กับการเรียน ซ้อม แสดง และสอนอยู่ที่บ้านสวนสตูดิโอนั่นเอง ซึ่งรายได้ที่ได้มานั้นก็เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับ 'เงินเดือน' จากระบบกงสีที่ทางบ้านของเธอโอนเข้าบัญชีมาให้ทุกเดือน แม้ว่าเธอจะปฏิเสธไม่ยอมทำงานในบริษัทก็ตาม แต่ก็เพราะเงินก้อนนั้นนั่นเอง ที่รั้งเธอไว้ด้วยความรู้สึกผิด จนต้องยอมกลับไปทำงานกับที่บ้าน

ถ้าเธอไม่เอาเงิน ก็ไม่ต้องมาเป็นลูกบ้านนี้ เธอมันลูกอกตัญญู” พ่อของเธอตวาดก่อนจะปิดประตูห้องดังปัง

โง่ ไม่สำนึกบ้างเลยว่าตัวเองโชคดีขนาดไหนแล้ว โง่แล้วยังอวดเก่ง ฉันไม่อยากจะคิดว่าเธอเป็นลูกฉัน” แม่ของเธอสำทับไล่หลัง ก่อนจะเดินตามพ่อออกไป พี่สาวและน้องชายของเธอได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ มีเพียงแค่น้องสาวคนสุดท้องเท่านั้นที่เงยหน้าขึ้นสบตาเธอ

พี่..” ทอฝันเรียกเธอ และคำตอบรับจากเธอในคืนนั้นก็มีเพียงแค่รอยยิ้มปลอมๆ ที่เธอส่งกลับไปเท่านั้นเอง แล้วมันก็เป็นรอยยิ้มที่เธอใช้ป้ายปากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา


ตลอดเวลาร่มไม้นั่งฟังเงียบๆ โจทย์ชีวิตของเขาและทอแสงมันช่างต่างกันเสียจริง แต่ความอัดอั้นที่แสดงออกในแววตาของทอแสงนั้น เขาก็พอจะมองเห็น ทอแสงดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว

เราเล่าเรื่องพวกนี้ให้เธอฟังทำไมเนี่ย โทษที ไปไกลเลย”

ไม่เป็นไรเลย ไม่เป็นไร เราฟังได้” ร่มไม้ยิ้มให้ “มิน่าล่ะ หลังๆ เธอถึงไม่ค่อยมาเข้าคลาส แล้วตอนนี้เธอกับที่บ้านเป็นยังไงบ้างแล้วล่ะ เข้าใจกันรึยัง” ร่มไม้อ่อนไหวกับเรื่องครอบครัวเสมอ

ก็โอเคแล้วจ้ะ”

ดีแล้วล่ะ แล้วกับตัวเองล่ะ โอเคมั้ย”

ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นะ เรากำลังพยายามโยนความเชื่อเก่าๆ ของเราทิ้งไปน่ะ”

เชื่อว่า?”

เราเคยเชื่อว่าชีวิตคือการทำงาน แล้วเราก็ควรจะต้องทำงานที่ทำให้เรามีความสุขกับมัน ชีวิตเราถึงจะมีความสุขน่ะ แต่ตอนนี้เรายอมรับแล้วล่ะว่ามันเป็นไปไม่ได้”

ทำไมมองโลกแง่ร้ายจัง”

ก็ไม่นะ แค่พยายามอยู่กับความเป็นจริง บางอย่างเราคงทำมันได้เป็นอดิเรกเท่านั้นแหละ”

เคยคิดอยากไปเมืองนอกบ้างไหม” ร่มไม้เหมือนจะเปลี่ยนเรื่องเสียทันควัน

หมายถึงไปเต้นเหรอ คงไม่ล่ะ เรารู้ว่าเราไม่เก่งขนาดนั้น”

แล้วเธอรักมันรึเปล่าล่ะ”

รัก”

ถ้าเรารู้ว่าเรารักอะไรแล้ว เราจะไม่สู้เพื่อมันสักหน่อยเหรอ”

ไม่แล้วล่ะ ถ้าเธอถามเราสักห้าปีก่อนก็ไม่แน่นะ แต่มาถึงตอนนี้แล้วเราไม่กล้าคิด ถ้าความฝันมันยากจะเกินจะทำให้มันเป็นจริงได้ บางที เราเปลี่ยนความฝันตัวเองอาจจะง่ายเสียกว่า”



แต่ไม่ใช่สำหรับร่มไม้ นับตั้งแต่กลับจากฮ่องกงมาใช้ชีวิตในเมืองไทย ร่มไม้ก็รู้สึกตลอดว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขา หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ในเวลานี้ เขายังอยากไปต่อ เขายังไปไม่ถึงจุดที่เขาใฝ่ฝัน นี่จึงยังไม่ใช่เวลาเขาจะกลับมา 'อยู่' บ้าน

แต่กับที่บ้าน เขาเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ

เรียนจบแล้วเราตั้งใจจะทำอะไรต่อ จะเรียนต่อไหม ถ้าอยากเรียนต่อ พี่ก็จะส่งต่อ” ร่มไม้คุยกับน้องชายจริงจัง อีกไม่นานน้องเขาก็จะจบปริญญาตรีแล้ว

ผมจะเข้าไปหางานทำที่กรุงเทพฯ”

อ้าวแล้วร้านกาแฟที่โมกข์อยากเปิดล่ะ ถ้าจะไปเปิดที่กรุงเทพฯ ค่าเช่าที่มันก็แพงนะ แล้วไหนจะต้องเช่าหออยู่ ค่ากินค่าเดินทางอีก ก็หลายตังค์อยู่นะ อยู่บ้านเราจะได้ดูแลพ่อกับแม่ด้วยอีกแรง”

แล้วพี่ไม้ล่ะ ทำไมไม่กลับบ้านสักที” ร่มโมกข์ 'เกือบ' ขึ้นเสียง

อีกครั้งที่ร่มไม้รู้สึกเหมือนเป็นคนเห็นแก่ตัว ครอบครัวคือสิ่งที่เขารักที่สุดในชีวิต แต่ความฝันของเขาเล่า เขาก็ให้ความสำคัญกับมันไม่แพ้กัน ร่มไม้มองหน้าน้องชาย

อยู่ไกลบ้านมันไม่สนุกหรอกนะโมกข์ มันแย่ยิ่งกว่าเวลาที่ที่โมกข์โทร.มาเล่าเรื่องที่บ้านให้พี่ฟัง แต่ตัวพี่กลับทำอะไรไม่ได้”

ดูเหมือนว่าร่มโมกข์จะเริ่มรู้สึกตัวว่าชักจะใช้อารมณ์มากจนเกินไปแล้ว จะว่าไปเขาก็เข้าใจว่าร่มไม้ต้องทำงานหาเงิน เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของครอบครัวก็มาจากพี่ชายเขานี่แหละ รวมทั้งค่าเล่าเรียนของเขาด้วย

ผมขอโทษพี่ แต่บางครั้งเวลาที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน ผมก็คิดถึงพี่เป็นคนแรก ผมรู้ว่าถ้าพี่ไม้อยู่ พี่ต้องจัดการได้”

โมกข์” เสียงเรียกน้องชายจริงจัง “ฟังพี่นะ พี่ไม่ได้เก่งไปกว่าเรา หรือว่าพ่อกับแม่เขาฟังพี่มากกว่าเราหรอก แต่มันเป็นเพราะถ้าพี่ไม่ทำ มันก็ไม่มีใครทำ พี่ก็เลยต้องเชื่อว่าพี่จัดการได้ แล้วพี่ก็ลงมือทำ พี่อยากให้โมกข์คิดแบบนี้ให้ได้เหมือนกัน”

ครับ”

เราต่างก็มีหน้าที่ของเราที่ต้องทำนะ” ร่มไม้สูดลมหายใจก่อนพูดต่อ “แล้วเราก็ต่างมีความฝันของเราที่จะต้องตาม แล้วเราก็ควรจะต้องทำให้ได้ทั้งสองอย่างด้วย” ร่มไม้ตั้งใจบอกตัวเอง เขาแค่พูดมันออกมาดังๆ เท่านั้นเอง


วิดีโอตรงหน้าโหลดเสร็จแล้ว ร่มไม้ดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง วิดีโอมากมายที่เขาชอบเปิดดู และก็ดูซ้ำไปซ้ำมานั้น ล้วนเป็นบ่อเกิดของแรงบันดาลใจที่ส่งให้เขาก้าวเดินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ และเขาก็ตั้งใจจะไปเท่าที่กำลังเขาสู้ไหว ตราบเท่าที่เวลาของเขายังพอมี เท่าที่ความฝันของเขายังไม่เบียดเบียนหน้าที่ที่ชีวิตเขามีอยู่จนเกินไป ..มันต้องมีสักทางสิ.. อีกครั้งที่เขากล่าวย้ำกับตัวเอง

..มาถึงขนาดนี้แล้ว ถอยกลับได้ยังไง.. นักเต้นในคลิปวิดีโอพาความฝันของเขาโลดแล่นไปอีกครั้ง เขาจะไปอยู่ตรงนั้น ไปเต้นอย่างนั้น ก็มันช่างแสนยากกว่าจะรู้ว่าชีวิตนี้เราต้องการอะไร แต่ถ้าเรารู้แล้วกลับไม่พยายามไขว่คว้ามันจนสุดกำลัง มันก็ออกจะ ..น่าเสียดาย

เขาขยับปากจะบอกทอแสง แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ

เพราะรู้สึกว่า ..ยังไม่ถึงเวลา